ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่าคอนโดอุดมสุขมีเยอะมาก แต่รู้กันไหมว่าไม่มีคอนโดเปิดใหม่ตรงเส้นอุดมสุขมานานแล้วนะ ปัจจุบันมีแต่คอนโดสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ไม่ก็เป็นคอนโดเก่าที่เปิดขายมานาน ทำให้โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 เป็น Rare Item บนทำเลเลยค่ะ

โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 เป็นคอนโด Low Rise เปิดใหม่แห่งเดียวบนเส้นอุดมสุข อิงมาฝั่งถนนสุขุมวิท ใกล้ BTS อุดมสุข 900 เมตร และมี Shuttle Service คอยรับ-ส่งด้วยนะ แถมความอุดมสมบูรณ์สูง เฉพาะเส้นอุดมสุขเองก็มีทั้ง One Udomsuk, ตลาดคุณยิ้ม, Udomsuk Walk, Makro Food Service อุดมสุข และ Udomsuk Market Center ด้วย นี่ยังไม่ได้พูดถึง Mega Projects ในอนาคตอย่าง Cloud 11 และ Bangkok Mall ที่จะมาเพิ่มความคึกคักบนทำเลเลยนะ ก็ยิ่งทำให้ทำเลนี้คึกคักมากขึ้นไปอีก

ห้องพักอาศัยก็มีให้เลือก 1-2 Bedroom ตกแต่งแบบ Fully Fitted และมี Layout หลากหลาย จึงเลือกได้ตรงไลฟ์สไตล์ด้วย ที่สำคัญคือทาง AP ได้ลุยตลาดคอนโด Pet-Friendly แล้ว โดยมีโครงการนี้เป็นคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้โครงการแรก จึงจัดอัพเกรดสเปควัสดุห้องให้เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ รวมถึงมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้มีแค่สวนสีเขียวมาให้วิ่งเล่น แต่มีห้อง Co-Working Space ที่มีอุปกรณ์-ของเล่นสัตว์เลี้ยงและห้อง Grooming อาบน้ำ-ตัดแต่งขนภายในโครงการด้วย ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางทั้งโครงการมีขนาดใหญ่ถึง 6,000 ตร.ม. ออกแบบเป็นแนวยาวเชื่อมชั้น 1-2 ทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องกันดีเลยค่ะ

ปัจจุบันทางโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 เพิ่งเปิดรอบ PRE-SALE ไปเมื่อวันที่ 22-23 พ.ย. 2568 ที่ผ่านมานะคะ บอกเลยว่าวันที่เราไปเก็บภาพบรรยากาศโครงการมา มีคนแวะเยี่ยมชมโครงการทั้งวันเลยนะ ซึ่งเราได้เขียนรีวิววิเคราะห์แบบเจาะลึกมาให้อ่านต่อที่ด้านล่างนี้เลยค่ะ

ข้อมูลโครงการ

รีวิว ASPIRE Sukhumvit 103 (แอสปาย สุขุมวิท 103)  ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568

 ชื่อโครงการ   ASPIRE Sukhumvit 103 (แอสปาย สุขุมวิท 103)
 ชื่อผู้ประกอบการ   บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
 SEGMENT CLASS   MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2023 )
 โครงการตั้งอยู่   ซอยอุดมสุข 22 ถนนอุดมสุข แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กทม. 10260
 ที่ดิน   10-1-26 ไร่
 ประเภทคอนโด   Low Rise 8 ชั้น 6 อาคาร
 จำนวนยูนิต   1,126 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต
 ที่จอดรถ   409 คัน คิดเป็น 36.3% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
 เริ่มก่อสร้าง   1 มกราคม 2569
 คาดว่าจะแล้วเสร็จ   31 พฤษภาคม 2570
 ประเภทห้องพัก
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 27ตร.ม.
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 35 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus (Corner) พื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม.
  • 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 45 ตร.ม.
    *ทุกแบบห้องมี Pet Friendly Unit ให้เลือก

 ราคาเริ่มต้น  2.59 ล้านบาท* (1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม.)
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ  ประมาณ 91,000 บาท/ตร.ม.
 EIA (ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม)  ผ่านแล้ว
 เว็บไซต์โครงการ คลิกที่นี่
 Call Center   1623

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.67849914849695, 100.61774498948628
หรือสามารถ : คลิกที่นี่

Highlight

  • Rare Item คอนโดใหม่บนเส้นอุดมสุข เพราะคอนโดย่านอุดมสุขปัจจุบันจะสร้างเสร็จสักพักแล้วหรือเป็นคอนโดเก่า ทำให้โครงการนี้เป็นคอนโด Low Rise เลี้ยงสัตว์ได้แห่งใหม่หนึ่งเดียวบนทำเล
  • เชื่อมต่อ 3 ถนนหลัก, ใกล้รถไฟฟ้า 2 เส้นและทางด่วน 2 สาย สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย เชื่อมถนนสุขุมวิท, บางนา-ตราดและศรีนครินทร์ อยู่ใกล้ BTS และ MRT รวมถึงมีทางพิเศษเฉลิมมหานครและบูรพาวิถี เข้า-ออกเมืองง่าย
  • ความอุดมสมบูรณ์สูง เฉพาะเส้นอุดมสุขก็มีทั้ง One Udomsuk, ตลาดคุณยิ้ม, Udomsuk Walk, Makro Food Service อุดมสุข และ Udomsuk Market Center หรือจะขยับไปหน่อยก็มี True Digital Park, Central บางนา, PARC Bangna ในระยะ 5 กิโลเมตร
  • Mega Projects ในอนาคตอย่าง Cloud 11 และ Bangkok Mall ช่วยเพิ่มความคึกคักบนทำเลมากยิ่งขึ้น

ASPIRE Sukhumvit 103 ตั้งอยู่ตรงไหน?

โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 ตั้งอยู่ติดถนนอุดมสุขหรือสุขุมวิท 103 ตรงซอยอุดมสุข 22 โดยจะอิงมาฝั่งเส้นถนนสุขุมวิท ทำให้เดินทางไปยังโซนทองหล่อ-เอกมัย, พระราม 4, สุขสวัสดิ์-พระราม 2 และสมุทรปราการได้ง่าย รวมถึงมีซอยย่อยให้ลัดเลาะไปถนนโดยรอบได้เยอะ ไปออกตรงถนนบางนา-ตราด, ศรีนครินทร์, เฉลิมพระเกียรติ ร.9, วชิรธรรมสาธิต หรือทะลุไปเส้นอ่อนนุชได้เลยค่ะ

ตัวโครงการจะอยู่ห่างจากถนนสุขุมวิทและ BTS อุดมสุขประมาณ 900 เมตร ซึ่ง BTS สถานีอุดมสุขนี้มี Skywalk เดินเชื่อมไปยัง BITEC Buri และ Bangkok Mall ที่มีแผนทำทางเดินเชื่อมในอนาคตด้วยค่ะ สำหรับระยะห่างจากตัวโครงการมายัง BTS จะไม่ได้ใกล้มากนัก แต่เราลองเดินแล้วถือว่าเดินได้ไม่ยากเลยนะ เพราะฟุตบาทมีขนาดใหญ่ เดินง่าย ยิ่งใครที่ร่างกายฟิตๆ ชอบเดินอยู่แล้วก็สบายเลยค่ะ ส่วนใครไม่ไหว ไม่อยากเดินเมื่อย ก็จะมีซุ้มมอเตอร์ไซค์กระจายอยู่หลายจุดทั่วทั้งเส้นอุดมสุขเลย นอกจากนั้นยังมีรถสองแถวผ่านไปมาตลอด ปัจจุบันเราก็สามารถเรียกรถผ่าน Application ต่างๆได้ง่าย สามารถเรียกรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi เดินทางบนทำเลนี้หรือใช้บริการ Toyota Alive Move เป็น Shuttle Bus รับ-ส่งฟรี (จุดจอดรถ Central บางนา, Toyota Alive Space, รพ.ไทยนครินทร์, MRT ศรีเอี่ยม, BITEC BURI), BTS บางนาและ BTS อุดมสุข) ได้

แต่จริงๆแล้วทางโครงการก็ได้จัดเตรียม Shuttle Service บริการถรับ-ส่งจากโครงการไปยัง BTS อุดมสุขไว้ให้ลูกบ้านด้วย ทำให้ใครที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถเดินทางได้ง่ายค่ะ นอกจากนั้นยังมี MRT สายสีเหลือง สถานีศรีอุดมอยู่ห่างประมาณ 3.2 กิโลเมตร เป็นตัวเลือกในการเดินทาง

Image 1/2
ทางพิเศษเฉลิมมหานคร

ทางพิเศษเฉลิมมหานคร

ส่วนใครที่ใช้ทางด่วนบ่อยๆก็สะดวกเลย เพราะมีทางด่วนถึง 2 สาย ใช้เดินทางเข้า-ออกเมืองไปทำธุระหรือไปเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียงได้ง่ายค่ะ

  • ทางพิเศษเฉลิมมหานคร : มีระยะห่าง 1.8 กิโลเมตร โดยมีจุดขึ้นทางด่วนอยู่ตรงบริเวณสี่แยกบางนา สามารถใช้เดินทางไปพระราม 4 หรือสีลม-สาทรได้ รวมถึงเชื่อมต่อไปทางด่วนศรีรัช เพื่อเดินทางไปยังโซนพระราม 9, ลาดพร้าวและรามอินทราได้ด้วยค่ะ
  • ทางพิเศษบูรพาวิถี : มีจุดขึ้นทางด่วนอยู่ห่าง 3.8 กิโลเมตร จึงเดินทางออกนอกเมืองไปยังโซนบางพลี บางบ่อหรือไปยังโซนพัทยา-ชลบุรีได้ง่ายเลย

สำหรับเส้นอุดมสุขนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์สูง จึงอยู่อาศัยได้อย่างอุดมสุขสมกับชื่อถนนเลยนะคะ เพราะมีร้านค้า ร้านอาหารตลอดแนวถนนเยอะมากๆ แถมมีห้าง, Community Mall หรือตลาดขนาดใหญ่อยู่หลายแห่งด้วย ไม่ว่าจะเป็น One Udomsuk, ตลาดคุณยิ้ม, Lotus’s Go Fresh, Mini BigC, Udomsuk Walk, Makro Food Service อุดมสุข และ Udomsuk Market Center ทำให้เราสามารถแวะกินข้าวหรือซื้อของก่อนกลับโครงการได้เลย หรือใครที่ยุ่งๆ ไม่มีเวลาออกมาเดินซื้อของกินของใช้ ไม่อยากแบกของหนักๆ เดี๋ยวนี้เราก็สั่งผ่าน Application ต่างๆให้มาส่งที่โครงการได้แล้ว ก็ยิ่งสะดวกไปใหญ่ ค่าส่งก็ไม่แพงด้วย

Image 1/5
ภาพบรรยากาศโดยรอบโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103

ภาพบรรยากาศโดยรอบโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103

นี่เรายังไม่ได้พูดถึงห้างใหญ่บนทำเลสุขุมตอนปลายอย่าง True Digital Park ที่นอกจากจะเป็นแหล่งงานแล้ว ยังมีร้านค้า-ร้านอาหารอยู่เยอะ, Central บางนาที่คนแถวนี้มาเดินเล่น ช้อปปิ้งกันประจำ, PARC Bangna เป็น Community Mall แห่งใหม่บนย่าน หรือจะไปเส้นศรีนครินทร์ก็จะมี Seacon Square ศรีนครินทร์ และ Paradise Park ศรีนครินทร์ด้วย นอกจากนั้นบนทำเลนี้มี Mega Projects ที่กำลังก่อสร้างอยู่หลายแห่งเหมือนกัน ได้แก่

  • Cloud 11 ใกล้ๆกับ True Digital Park ออกแบบเป็น Hub ของ Content Creator ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย คาดเปิดปลายปี 2568 นี้
  • BITEC Buri หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ BITEC บางนา ได้ปรับปรุงใหม่เป็น Community Space รวบรวมสถานที่จัดงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้า ศูนย์การประชุมนานาชาติ คอนเสิร์ตฮอลล์ ลานกิจกรรม ซึ่งปัจจุบันได้เปิดบริการเรียบร้อยแล้ว
  • Bangkok Mall เป็นโครงการ Mixed – Use ขนาดใหญ่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าและซุเปอร์มาร์เก็ต, โรงภาพยนตร์, พื้นที่สวนสนุกและสวนน้ำ, โครงการที่พักอาศัย, สำนักงาน, โรงแรมและ Arena ฮอลล์แสดงคอนเสิร์ต-กิจกรรมบันเทิง คาดเปิดบางส่วนในปี 2570 และคาดเปิดทั้งโครงการในปี 2572 ค่ะ

เรียกว่าถ้าโครงการ Mega Projects เหล่านี้เปิดบริการเรียบร้อยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ทำเลนี้ที่ปัจจุบันก็คึกคักมากอยู่แล้ว ยิ่งคึกคักมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เป็นทำเลที่น่าจับตามองมากๆนั่นเอง

คอนโดอุดมสุข ราคาเท่าไหร่?

ปัจจุบันคอนโดอุดมสุขจะเป็นคอนโดที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือเป็นคอนโดเก่าไปเลย ทำให้หากถามหาคอนโดอุดมสุขที่เปิดใหม่และเลี้ยงสัตว์ได้ จะมีเพียงโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 เพียงโครงการเดียวเลยค่ะ จึงเป็นทำเลที่หาคอนโดเปิดใหม่ยากมากๆ รวมถึงคอนโดสุขุมวิทตอนปลายอื่นๆที่เป็น Low Rise หรือเลี้ยงสัตว์ได้ก็จะขยับไกลจากตัวเมืองไปตรง BTS บางนา-แบริ่งหรือ MRT ศรีอุดมเลย แถมโครงการเหล่านี้จะมีห้องขนาดเริ่มต้น 23-25 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1 ล้านปลายๆถึง 2 ล้านต้นๆ แต่โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 จะมีห้องเริ่มต้นขนาดใหญ่ 27 ตร.ม. จึงได้บรรยากาศภายในห้องที่สบาย ไม่อึดอัด ส่วนราคาเริ่มต้นก็จะอยู่ที่ 2 ล้านต้นๆถึง 2 ล้านกลางๆ ซึ่งถือเป็น Trade Off กับพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่านั่นเอง

นอกจากนั้นยังโดดเด่นที่พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ 6,000 ตร.ม. และการออกแบบในเรื่องของ Pet-Friendly ที่เรามองว่ามีการคำนึงและให้มาเยอะกว่าโครงการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันส่วนกลางของสัตว์เลี้ยงที่หลากหลายและห้องพักที่ออกแบบทั้งวัสดุ-สเปคเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะค่ะ ทำให้เป็นโครงการที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้คอนโดทำเลใกล้เมือง ไปใช้รถไฟฟ้าได้ง่าย รวมถึงน้องๆสัตว์เลี้ยงก็มีคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีด้วย

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

สภาพแวดล้อมรอบๆโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 ตั้งอยู่ติดถนนอุดมสุขหรือสุขุมวิท 103 ที่มีรถขับผ่านไป-มาตลอด โดยเฉพาะช่วงเช้า-เย็นที่คนเดินทางไป-กลับจากที่ทำงาน ส่วนตัวโครงการถูกล้อมรอบด้วยอาคารพาณิชย์, บ้านพักอาศัยแนวราบและอพาร์ทเม้นท์ ส่วนด้านหลังโครงการจะเป็นวิทยาลัยพาณิชยการบางนาอาจจะได้ยินเสียงดังบ้าง แต่โดยรวมแล้วเป็นทำเลที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย มีร้านค้าตามแนวถนนให้จับจ่ายใช้สอยได้ง่าย

  • ทิศเหนือ ติดกับ ถนนอุดมสุข (ซอยสุขุมวิท 103), อาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น
  • ทิศตะวันออก ติดกับ บ้านพักอาศัย 1- 2 ชั้น, อพาร์ทเม้นท์สูง 4 ชั้น
  • ทิศใต้ ติดกับ วิทยาลัยพาณิชยการบางนาสูง 8 ชั้น
  • ทิศตะวันตก ติดกับ บ้านพักอาศัย 2 ชั้น

Image 1/7
ภาพบรรยากาศ Sales Gallery ของโครงการ

ภาพบรรยากาศ Sales Gallery ของโครงการ

Sales Gallery ของโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 จะอยู่ติดถนนสุขุมวิท ไม่ไกลจาก BTS อุดมสุขค่ะ โดยจะตั้งอยู่คู่กับ Sales Gallery สำนักงานขายโครงการ LIFE Udomsuk Station ที่เป็นคอนโด High Rise ระดับ Upper Class นะคะ เราจะขอแปะพิกัดที่ตั้ง Sales Gallery ของโครงการนี้ไว้ด้วยนะ เพื่อนๆจะได้ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอหรือหลงทางกัน คลิกที่นี่เลยค่ะ

Image 1/5
ภาพบรรยากาศที่ตั้งโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103

ภาพบรรยากาศที่ตั้งโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103

ภาพบรรยากาศที่ตั้งของโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 จะอยู่ติดกับถนนอุดมสุขเลย โดยมีกำหนดการเริ่มก่อสร้างในปี 2569 และคาดเสร็จในเดือนพฤษภาคม ปี 2570 ค่ะ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • Makro Food Service อุดมสุข ~ 170 ม.
  • ตลาดคุณยิ้ม@อุดมสุข ~ 1.6 กม.
  • Cloud 11 ~ 1.6 กม.
  • True Digital Park ~ 1.7 กม.
  • Bangkok Mall ~ 1.7 กม.
  • One Udomsuk ~ 1.8 กม.
  • Udomsuk Market Center ~ 2.5 กม.
  • Udomsuk Walk ~ 2.7 กม.
  • Central บางนา ~ 3.5 กม.
  • Paradise Park ศรีนครินทร์ ~ 4.3 กม.
  • Seacon Square ศรีนครินทร์ ~ 4.9 กม.
  • PARC Bangna~ 4.9 กม.
  • MEGA บางนา ~ 9.4 กม.
  • IKEA บางนา ~ 10 กม.

โรงพยาบาล

  • รพ.กล้วยน้ำไท 2 ~ 1.3 กม.
  • รพ.รวมใจรักษ์ สุขุมวิท 62 ~ 3.3 กม.
  • รพ.ไทยนครินทร์ ~ 3.9 กม.
  • รพ.สัตว์พญาไท 7 (บางนา) ~ 4.8 กม.
  • รพ.สินแพทย์ ศรีนครินทร์ ~ 4.9 กม.

โรงเรียน

  • รร.นานาชาติ Berkeley ~ 1.0 กม.
  • รร.นานาชาติ Glory Singapore ~ 1.1 กม.
  • รร.นานาชาติ Anglo Singapore ~ 1.8 กม.
  • รร.นานาชาติ St.Andrews ~ 3.5 กม.
  • รร.นานาชาติ Wells (อ่อนนุช) ~ 4.1 กม.
  • วิทยาลัยดุสิตธานี ~ 5.3 กม.
  • รร.ลาซาลกรุงเทพ ~ 5.4 กม.
  • รร.นานาชาติ Thai Sikh ~ 5.6 กม.
  • รร.นานาชาติ Bangkok Prep ~ 6.0 กม.

สำนักงาน

  • 66 Tower ~ 1.3 กม.
  • Bhiraj Tower at BITEC ~ 1.9 กม.
  • สำนักงานใหญ่ DKSH ~ 2.5 กม.
  • M Tower ~ 2.5 กม.
  • Bangchak Corporation ~ 2.7 กม.
  • AIA East Gateway ~ 4.9 กม.

รายละเอียดโครงการ

Highlight

  • ออกแบบทั้ง 6 อาคาร ล้อมรอบพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้ห้องพักส่วนนึงของโครงการได้วิวและบรรยากาศสวยๆของส่วนกลาง
  • พื้นที่ส่วนกลางแนวยาวเชื่อมชั้น 1-2 ทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องกันดี
  • คอนโด Pet-Friendly แห่งแรกของ AP พร้อมส่วนกลางสำหรับสัตว์ ออกแบบอาคาร C-D ให้เลี้ยงสัตว์ได้ แยกจากอาคารอื่นๆ พร้อมห้องที่มีเครื่องเล่นของสัตว์, ห้องอาบน้ำ-ตกแต่งขนและสวนสีเขียวให้วิ่งเล่น

โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 เป็นคอนโดอุดมสุขที่เปิดใหม่ล่าสุด โดยออกแบบเป็น Low Rise 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร รวม 1,126 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต บนที่ดิน 10-1-26 ไร่ พร้อมพื้นที่จอดรถ 409 คัน คิดเป็น 36.3% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) ตั้งอยู่บนเส้นอุดมสุข ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่ก็แลกมากับพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ 6,000 ตร.ม.*  ภายใต้แนวคิด Urban Odyssey Residence ที่มีพื้นที่สีเขียวในโครงการรวม 3,600 ตร.ม.* เลยค่ะ อีกทั้งยังเน้นฟังก์ชันนั่งเล่น-ทำงานอยู่หลายจุดด้วย

นอกจากนั้นปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันมาเลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวกันมากขึ้น ทำให้ทาง AP ได้ลุยตลาดคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้แล้วนะคะ โดยมีโครงการนี้เป็นโครงการ Pet-Friendly แห่งแรกของ AP และแบรนด์ ASPIRE เลย เพื่อรองรับกลุ่ม Pet Parent พร้อมพื้นที่ส่วนกลางและห้องพักที่ออกแบบมาเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะด้วย งั้นเรามาเริ่มกันที่ Master Plan ของโครงการกันก่อนเลย

Master Plan

บริเวณชั้น 1 ของโครงการจะออกแบบเป็นพื้นที่จอดรถ 409 คัน คิดเป็น 36.3% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) พร้อม EV Charger ภายในโครงการ เพื่อรองรับเทรนด์สมัยใหม่ที่คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น รวมถึงมี Shuttle Service บริการรถรับ-ส่งลูกบ้านจากโครงการมายัง BTS อุดมสุขด้วยนะคะ ทำให้สะดวกสำหรับคนที่ต้องขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปทำงานเป็นประจำ

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางส่วนใหญ่ในโครงการจะออกแบบอยู่ที่ชั้น 1 ทำให้ลูกบ้านเดินมาใช้งานได้สะดวก แบ่งเป็น 2 โซนด้วยกัน ได้แก่ โซนด้านหน้าโครงการจะเป็นพื้นที่ต้อนรับของโครงการที่มีทั้งร้านค้า 2 ยูนิตและ Welcome Lobby ตรงอาคาร A ส่วนบริเวณตรงกลางโครงการ ด้านหน้าของอาคาร D, E และ F จะเป็น Main Facilities เรียกว่า Green Odyssey Space ที่มีฟังก์ชันให้ใช้งานครบทั้ง Passive Facilities และ Active Facilities เลยค่ะ

สำหรับพื้นที่ Lobby จะมีเพียงอาคาร A และอาคาร E เท่านั้น ส่วนอาคารพักอาศัยอื่นๆจะมีเพียง Lift Hall เป็นพื้นที่ยืนรอลิฟต์ขึ้น-ลงค่ะ ทำให้หากมีแขกหรือเพื่อนมาเยี่ยมก็ต้องมานั่งคอยบริเวณ Welcome Lobby ตรงอาคาร A ที่อยู่ด้านหน้าโครงการเลย หรือไม่ก็มายัง Lobby ของอาคาร E แทนนะคะ

นอกจากนั้นโครงการนี้ยังเป็นคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ โดยอาคาร Pet-Friendly จะอยู่ที่อาคาร C-D และตั้งอยู่ด้านในสุดของโครงการนะคะ พร้อมออกแบบพื้นที่ส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยงมาให้เรียบร้อยภายในโครงการเลย ทำให้ไม่รบกวนการอยู่อาศัยของลูกบ้านคนอื่นๆในโครงการนั่นเอง

โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 จะมีทางเข้า-ออกโครงการอยู่ติดกับถนนอุดมสุขเลยค่ะ ส่วนตัวอาคารจะตั้งเรียงยาวเข้าไปด้านใน ก็ทำให้มีระยะร่นจากถนนด้านหน้าโครงการ ช่วยลดเสียงดังและกลิ่นควันจากรถยนต์ เพื่อไม่ให้รบกวนการอยู่อาศัยนั่นเอง

การวางผังของโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 จะวางตัวอาคารทั้ง 6 อาคารล้อมรอบจนเกิดพื้นที่ Court ตรงกลางและออกแบบเป็น Main Facilities ของโครงการ ซึ่งเป็นการออกแบบที่นิยมในคอนโด Low Rise นะคะ เพราะทำให้ห้องพักอาศัยส่วนนึงที่หันเข้ามาด้านในโครงการ จะได้วิวและบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางสวยๆที่ดูแลรักษาให้สวยงามอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

Image 1/2
ทางเข้า-ออกโครงการ

ทางเข้า-ออกโครงการ

ทางเข้า-ออกโครงการออกแบบเป็นรั้วกั้นไม้กระดกที่มีระบบในการเข้า-ออกแบบจดจำป้ายทะเบียนรถยนต์ พร้อม CCTV ส่วนกลาง, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง และรั้วทึบรอบโครงการสูง 3.00 เมตร เพื่อรักษาความปลอดภัยในโครงการ

นอกจากนั้นจะมีร้านค้าอยู่ 2 ยูนิตที่ปัจจุบันเรายังไม่ทราบนะคะว่าจะเป็นร้านอะไร แต่ถ้าเป็นพวกร้านสะดวกซื้อหรือร้านสัตว์เลี้ยง ก็จะช่วยให้ลูกบ้านมาจับจ่ายใช้สอยได้ง่ายขึ้น ส่วนอาคาร A จะมี The Parlour เป็น Welcome Lobby พื้นที่ต้อนรับแขกต่างๆ รวมถึง Juristic Room ห้องนิติบุคคล คอยดูแลและอำนวยความสะดวกภายในโครงการค่ะ

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณด้านหน้าโครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 มีทางเข้า-ออกอยู่ติดถนนใหญ่อุดมสุขเลย

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ The Parlour ของอาคาร A ออกแบบเป็น Welcome Lobby พื้นที่ต้อนรับ ทำให้ลูกบ้านของทุกอาคารสามารถใช้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่รองรับแขกหรือเพื่อนๆได้ โดยรวมจะออกแบบเน้นสีส้ม-น้ำตาล ตัดด้วยสีแดง ทำให้มีสีสันสดใสและดูมีชีวิตชีวาดี อีกทั้งยังใช้เส้นโค้งต่างๆ ก็เพิ่มความอ่อนนุ่ม ได้บรรยากาศที่อบอุ่น เป็นกันเองมากขึ้น พร้อมจัดชุดโซฟาไว้หลายจุด เพื่อรองรับแขกของลูกบ้านได้หลายกลุ่มพร้อมกัน

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ The Parlour ของอาคาร A จะมีออกแบบเป็นที่นั่งโซฟายาวแบบนี้ด้วย ทำให้มานั่งเล่นคนเดียวหรือมากับกลุ่มเพื่อนก็ได้

หลังจากเราผ่านด้านหน้าโครงการมายังบริเวณตรงกลางกันแล้ว จะเจอกับ Main Facilities ของโครงการที่เรียกว่า Green Odyssey Space นั่นเอง ซึ่งจะอยู่บริเวณด้านหน้าของอาคาร D, E และ F เลยค่ะ ทำให้ลูกบ้านของทั้ง 3 อาคารนี้มาใช้งานส่วนกลางได้ง่าย รวมถึง Green Odyssey Space จะอยู่ตรงข้ามอาคาร B และ C จึงทำให้ได้วิวพื้นที่ส่วนกลางสวยๆด้วยนะคะ

Green Odyssey Space ที่เป็น Main Facilities นี้จะออกแบบเชื่อมเป็นแนวยาว ผ่านกลางอาคาร E และสามารถเดินเชื่อมไปยังชั้น 2 ของอาคาร D และ F ได้ด้วยค่ะ ซึ่งเราสามารถแบ่งพื้นที่ตรงนี้เป็น 2 โซนด้วยกัน โดยพื้นที่ Court ตรงอาคาร E-F จะมีสระว่ายน้ำยาว 30 เมตร พร้อมพื้นที่นั่งเล่นอยู่หลายจุด ส่วนพื้นที่ Court ตรงอาคาร D-E จะเน้นเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน ออกกำลังกายกลางแจ้ง อีกทั้งยังมีสวนสีเขียวสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย

เราชอบการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่ยาวต่อกันตรงชั้น 1 และเชื่อมไปยังชั้น 2 นะ เพราะทำให้ลูกบ้านสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกันเลย อย่างเวลานั่งทำงานที่ชั้น 2 แล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศนั่งเล่นก็เดินลงมายังชั้น 1 ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปขึ้น-ลงลิฟต์ค่ะ

เราขอพามาดูพื้นที่ Court ตรงอาคาร E-F กันก่อนนะคะ โดยประกอบด้วย The Aqua สระว่ายน้ำระบบเกลือยาว 30 เมตรและ Glow Yard พื้นที่นั่งเล่นในสวน ส่วนฟังก์ชันส่วนกลางตรงชั้น 1 ของอาคาร E จะมี Lobby พื้นที่ต้อนรับ-รองรับแขกและ The Pulse ห้องออกกำลังกาย พร้อมอุปกรณ์ครบครัน

ซึ่งจากบริเวณ Court นี้ ยังเดินเชื่อมจาก Glow Yard ไปยัง Lively Yard & The Canopy Lounge พื้นที่นั่งเล่นตรงชั้น 2 ของอาคาร F รวมถึง The Loop ด้านข้างสระว่ายน้ำที่เป็นทางเดิน-บันไดเชื่อมพื้นที่ส่วนกลางชั้น 1-2 พร้อมพื้นที่นั่งเล่นในสวน

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Green Odyssey Space ด้านหน้าอาคาร E-F จะมีมุมนั่งเล่นในสวนอย่าง Glow Yard ให้มานั่งพักผ่อนกันได้ พร้อมสระว่ายน้ำยาว 30 เมตร ที่มีลมพัดพาความเย็นมายังพื้นที่นั่งเล่นที่กระจายอยู่รอบสวนสีเขียวด้วยค่ะ ซึ่งทางโครงการบอกมาว่าพื้นที่สีเขียวในโครงการมีขนาดใหญ่ 3,600 ตร.ม.* เพื่อสร้างบรรยากาศสดชื่นและน่าอยู่อาศัยภายในโครงการนั่นเอง

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ The Aqua เป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 8.90×30 เมตร ความลึก 1.20 เมตร พร้อม Jacuzzi และ Shallow Pool (เฉพาะส่วนสระว่ายน้ำขนาด 6×30 เมตร) ถือว่ามีขนาดสระยาวกว่า Half Olympic อีกนะ จึงมาว่ายน้ำ-ออกกำลังกายจริงจังได้เลยค่ะ

ถึงแม้ทางโครงการจะออกแบบเป็นสระกลางแจ้ง แต่ตัวอาคารพักอาศัยจะช่วยบังแสงแดดในช่วงบ่ายๆพอดี จึงทำให้สามารถมาว่ายน้ำเล่นได้ตลอดทั้งวันเลยค่ะ รวมถึงมีปลูกต้นไม้ใหญ่คอยเป็นร่มเงาอีกด้วย ส่วนด้านข้างจะจัดเป็น Pool Bed ให้มานอนเล่นพักผ่อนริมสระว่ายน้ำกันได้ ส่วนฝั่งขวาของภาพจะเป็น The Loop ที่ออกแบบเป็นทางเดิน-บันไดเชื่อมพื้นที่ส่วนกลางชั้น 1-2 ของอาคาร E พร้อมพื้นที่นั่งเล่นในสวนด้วยค่ะ

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ The Pulse ของอาคาร E โดยจะเป็น Fitness ห้องออกกำลังกายนั่นเอง ซึ่งจัดเตรียมอุปกรณ์ในการออกกำลังกายมาให้ครบครัน อีกทั้งติดตั้งกระจกเงาไว้คอยเช็กท่าทางออกกำลังกายด้วย

เราชอบที่ออกแบบผนังฝั่งนึงของ The Pulse เป็นหน้าต่างกระจกแบบ Full Height เพื่อเปิดรับวิวสวนสีเขียวด้านนอกได้เต็มที่ ช่วยให้เราออกกำลังกายพร้อมชมวิวได้เพลินๆดีค่ะ

จากที่เราบอกไปนะคะว่าทางโครงการออกแบบ The Loop เป็นทางเดิน-บันไดเชื่อมพื้นที่ส่วนกลางชั้น 1 ไปยังชั้น 2 ของอาคาร E ทำให้สามารถไปยังพื้นที่นั่งเล่นและทำงานต่างๆได้

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Green Odyssey Space ด้านหน้าอาคาร E-F ในภาพนี้ จะเห็นว่ามีบันไดเดินเชื่อมต่อไปยัง Lively Yard & The Canopy Lounge ตรงชั้น 2 ของอาคาร F

รวมถึงบันไดวนตรง The Loop ไปยังพื้นที่ส่วนกลางชั้น 2 ของอาคาร E ไม่ว่าจะเป็น The Lounge พื้นที่นั่งเล่น-ทำงาน, Creative Hub พื้นที่ Co-Working Space, Flow Room ห้องทำงานแบบส่วนตัว, Focus Room ห้องประชุม, Entertainment Room ห้องสตูดิโอ ถ่ายงานได้, Urban Lounge ห้องนั่งเล่นแบบส่วนตัว, Work Hub ห้องทำงานแบบส่วนตัวและ The Aspire Common ห้องทำงาน-พื้นที่นั่งเล่นได้

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ The Lounge ตรงชั้น 2 ของอาคาร E ออกแบบเป็นพื้นที่นั่งเล่นและทำงานไว้หลากหลายรูปแบบให้ใช้งานได้ตามความต้องการเลย

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Creative Hub ตรงชั้น 2 ของอาคาร E ออกแบบเป็นพื้นที่ Co-Working Space ให้มานั่งทำงานทั้งเดี่ยวและกลุ่มได้ หรือจะมานั่งเล่นพักผ่อนก็ได้เหมือนกัน โดยจะออกแบบเป็นโต๊ะประชุมและโต๊ะยาวให้มาใช้งานกันได้ค่ะ และที่สำคัญคือเปิดรับวิวสวนสีเขียวด้านนอก ช่วยเพิ่มบรรยากาศผ่อนคลายได้ดี

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Flow Room ตรงชั้น 2 ของอาคาร E โดยจะอยู่ติดกับพื้นที่ Creative Hub เลยนะ เหมาะกับคนที่อยากได้บรรยากาศการทำงานที่เป็นส่วนตัว และต้องการสมาธิมากขึ้น รวมถึงมีติดตั้ง TV ไว้ให้เปิดพรีเซ้นต์งานได้ พร้อมโซฟาตัว L, เก้าอี้และโต๊ะเล็กๆค่ะ

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Focus Room ตรงชั้น 2 ของอาคาร E สำหรับห้องนี้เป็นอีกห้องที่อยู่ติดกับ Creative Hub และ Flow Room แต่ Focus Room นี้ที่นอกจากจะได้เป็นห้องทำงานส่วนตัวเหมือนกับ Flow Room แล้ว ยังเหมาะใช้เป็นห้องประชุมด้วยค่ะ เพราะมีติดตั้ง TV ไว้นำเสนองานและโต๊ะ-เก้าอี้ให้มานั่งทำงานยาวๆได้เลย

Image 1/2
Entertainment Room

Entertainment Room

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Entertainment Room ตรงชั้น 2 ของอาคาร E จะอยู่คนละโซนกับ Creative Hub, Flow Room และ Focus Room แล้วนะคะ โดยออกแบบเป็นห้องสตูดิโอ สามารถ Live หรือถ่ายงานสินค้าต่างๆได้ ซึ่งภายในห้องจะมีมุมโต๊ะ-เก้าอี้ให้มานั่งแต่งหน้าหรือวางอุปกรณ์สำหรับถ่ายงานต่างๆได้ รวมถึงใช้เป็นมุมถ่ายรูปได้เหมือนกัน ส่วนอีกฝั่งของห้องก็จัดเป็นโซฟายาว-โต๊ะเล็กๆ พร้อมชุดไฟสตูดิโอมาให้ลูกบ้านใช้งานกันได้เลย

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Urban Lounge ตรงชั้น 2 ของอาคาร E จะอยู่ใกล้ๆกับ Entertainment Room สามารถใช้เป็นห้องนั่งเล่นแบบส่วนตัวได้ ภายในห้องจะวางโซฟายาว พร้อมชั้นวางของและโต๊ะเล็กๆ อีกทั้งยังมีหน้าต่างกระจกแบบ Full Height มองออกไปได้วิวสวนสีเขียวด้วยนะคะ ทำให้ได้บรรยากาศที่สดชื่นดีเลย

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Work Hub ตรงชั้น 2 ของอาคาร E จะอยู่โซนเดียวกับ Entertainment Room และ Urban Lounge ซึ่งออกแบบเป็นห้องทำงานแบบส่วนตัวอีกห้องค่ะ เราจะเห็นว่าฟังก์ชันพื้นที่ส่วนกลางส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่นั่งเล่นและทำงานนะคะ ทั้งภายในอาคารและกระจายอยู่รอบสวนสีเขียว ทำให้เราสามารถเลือกใช้งานหรือเปลี่ยนบรรยากาศการนั่งเล่นได้ตามความชอบเลยค่ะ

เรามีเกริ่นไปนิดนึงแล้วนะว่าบริเวณด้านหลังของ Glow Yard พื้นที่นั่งเล่นในสวนจะมีบันไดเดินเชื่อมไปยังชั้น 2 ของอาคาร F ซึ่งโซนพื้นที่กลางแจ้งจะเป็น Lively Yard และ The Canopy Lounge ที่ออกแบบเป็นพื้นที่นั่งเล่นในสวนสีเขียว ส่วนภายในอาคาร F จะเป็น The Retreat & The Junction Room พื้นที่นั่งเล่น-ทำงาน ทำให้ลูกบ้านภายในอาคาร F ก็สามารถเดินลงมาสระว่ายน้ำหรือนั่งเล่นตรง Court ชั้น 1 ได้เลย โดยไม่ต้องไปขึ้น-ลงลิฟต์นั่นเอง

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ The Junction Room ตรงชั้น 2 ของอาคาร F ออกแบบเป็นพื้นที่นั่งเล่นและนั่งทำงาน พร้อมจัดมุมที่นั่งไว้หลากหลายทั้งโซฟาโค้ง-โต๊ะเล็กๆ และโต๊ะยาวให้ลูกบ้านเลือกใช้ตามการใช้งานได้ นอกจากนั้นยังมองออกไปได้วิว Lively Yard และ The Canopy Lounge พื้นที่นั่งเล่นในสวนสีเขียวด้วยค่ะ

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ The Retreat ตรงชั้น 2 ของอาคาร F จะอยู่บริเวณเดียวกับ The Junction Room เลย ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกัน ซึ่งบริเวณนี้ก็มีทั้งโซฟามานั่งหรือนอนเล่น รวมถึงซุ้มนั่งทำงานแบบส่วนตัวด้วยค่ะ ซึ่งทางโครงการก็ออกแบบเป็นกระจก Full Height เพื่อเปิดรับวิวสวนสีเขียวด้านนอกต่อเนื่องมาจาก The Junction Room เลยนะคะ

หลังจากภาพเราพาไปดูบริเวณ Green Odyssey Space ด้านหน้าอาคาร E-F กันมาแล้ว เราจะพาไปดู Green Odyssey Space ตรงด้านหน้าอาคาร D-E กันบ้าง ซึ่งบอกก่อนว่าอาคาร C-D จะเป็นอาคารแบบ Pet-Friendly ที่เลี้ยงสัตว์ได้ ทำให้ฟังก์ชันส่วนกลางของ Green Odyssey Space ในบริเวณนี้ จะมีพื้นที่ส่วนกลางของสัตว์เลี้ยงด้วยนั่นเอง

พื้นที่ Court บริเวณนี้จะประกอบด้วย Outdoor Co-Working Space พื้นที่นั่งทำงานในสวนและ Pulse Station พื้นที่ยืดเหยียด ออกกำลังกายกลางแจ้ง อีกทั้งมี Relaxing Garden พื้นที่สวนสีเขียว พร้อมที่นั่งแบบบาร์ ที่ออกแบบเป็น Stepped Garden เชื่อมพื้นที่ Court ไปยังส่วนกลางชั้น 2 ของอาคาร D ที่เป็นส่วนกลางของสัตว์เลี้ยงค่ะ

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Green Odyssey Space ด้านหน้าอาคาร E-F โดยพื้นที่ Court จะเป็นลานสนามหญ้ากว้างๆ ส่วนด้านข้างจะเป็น Outdoor Co-Working Space พื้นที่นั่งทำงานในสวนสีเขียวและ Pulse Station พื้นที่ยืดเหยียด ออกกำลังกายกลางแจ้งอย่าง Multi-Stepper Terrace, Yoga Fly Seat และ Reflexology Bar ใกล้ๆกับ The Pulse ทำให้สามารถเปลี่ยนบรรยากาศการออกกำลังกายจากใน Fitness มากลางแจ้งได้ อีกทั้งโดยรอบก็ตกแต่งต้นไม้เล็ก-ใหญ่ไว้เยอะ ได้อากาศบริสุทธิ์และสดชื่น

รวมถึง Relaxing Garden มีการออกแบบเป็นที่นั่งแบบบาร์ให้มานั่งเล่นกันได้และเชื่อมไปยัง Play Yard & Furground ที่เป็นพื้นที่สวนของสัตว์เลี้ยงตรงชั้น 2 ของอาคาร D ค่ะ ทำให้ลูกบ้านสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกันดี นอกจากนั้นในภาพด้านบนนี้จะเห็นว่าทางโครงการได้ออกแบบประตูรั้วกั้น 2 ชั้นไว้ด้วยนะ เพื่อป้องกันไม่ให้น้องๆสัตว์เลี้ยงวิ่งลงไปพื้นที่ Court ด้านล่างและรบกวนลูกบ้านคนอื่นๆค่ะ ถือว่าเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงการอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้ดีเลยค่ะ

อย่างที่เราได้บอกไปนะคะว่าโครงการนี้เป็นคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้อยู่ที่อาคาร C และ D ทำให้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางตรงชั้น 2 ของอาคาร D ทั้งหมดเป็นส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น Play Yard & Furground พื้นที่สวนสีเขียวของสัตว์เลี้ยง, Palductive Space พื้นที่นั่งทำงาน พร้อมอุปกรณ์-ของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงและ Pal Grooming พื้นที่อาบน้ำ-ตัดแต่งขนสัตว์เลี้ยง โดยจะมีการติดตั้งประตูรั้วกั้น 2 ชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้น้องๆสัตว์เลี้ยงวิ่งออกไปยังบริเวณอื่นด้วย

Image 1/2
Palductive Space

Palductive Space

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Palductive Space ตรงชั้น 2 ของอาคาร D ออกแบบเป็นพื้นที่ Co-Working Space ให้ลูกบ้านมานั่งเล่นหรือนั่งทำงาน พร้อมพาน้องๆสัตว์เลี้ยงมาวิ่งหรือเล่นสนุกกับเพื่อนๆสัตว์เลี้ยงอื่นๆได้ โดยจะมีอุปกรณ์-ของเล่นไว้ให้น้องๆเล่นกันภายในห้องเลย ถือว่าดีเหมือนกันนะ น้องๆสัตว์เลี้ยงจะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง ได้มาออกกำลังกายและพบปะเพื่อนๆด้วย

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Pal Grooming ตรงชั้น 2 ของอาคาร D โดยออกแบบเป็นพื้นที่อาบน้ำ-ตัดแต่งขนสัตว์เลี้ยงภายในโครงการเลยนั่นเอง ทำให้สะดวกสบายมากๆ ไม่ต้องพาน้องๆออกไปด้านนอกก็สามารถเสริมสวย เสริมหล่อกันได้เลยนะ

พื้นที่ส่วนกลางของโครงการนี้ที่นอกจากจะมีบริเวณชั้น 1-2 แล้ว ยังมีตรงชั้นดาดฟ้าของอาคาร C และ D ที่เป็นอาคารเลี้ยงสัตว์ได้ทั้ง 2 อาคารของโครงการด้วย

โดยจะออกแบบเป็น Rooftop Garden พื้นที่สวนสีเขียวมาให้น้องๆวิ่งเล่น พร้อมทางเดินเชื่อมระหว่าง 2 อาคาร ทำให้สะดวกต่อลูกบ้านอาคาร C เพราะไม่มีฟังก์ชันส่วนกลางสัตว์เลี้ยงภายในอาคาร C แต่ก็สามารถเดินเชื่อมมาใช้งานที่อาคาร D ได้นั่นเอง

ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Sky Pal Garden & Cloud Pal ตรงชั้น Rooftop ของอาคาร C และ D โดย Cloud Pal จะอยู่ตรงอาคาร C และ Sky Pal Garden จะอยู่ที่อาคาร D ซึ่งออกแบบเป็นพื้นที่สวนสีเขียวให้ลูกบ้านพาน้องๆสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นบริเวณนี้ได้ง่ายดี อีกทั้งมีทางเดินเชื่อมระหว่างอาคาร C และ D ด้วยค่ะ

แปลนชั้นพักอาศัย

ต่อมาเราจะพามาดูแปลนชั้นพักอาศัยแต่ละโครงการกันนะคะ ซึ่งออกแบบตัวอาคารเป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร รวม 1,126 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต โดยมีห้องพักอาศัยของทุกอาคารเริ่มที่ชั้น 2 เป็นต้นไปและมีระบบในการเข้า-ออกและขึ้นลงอาคารเป็น Face Scan โดยแต่ละอาคารแบ่งเป็น

  • อาคาร A จำนวน 220 ยูนิต + ร้านค้า 2 ยูนิต
  • อาคาร B จำนวน 217 ยูนิต
  • อาคาร C (Pet-Friendly) จำนวน 196 ยูนิต
  • อาคาร D (Pet-Friendly) จำนวน 172 ยูนิต
  • อาคาร E จำนวน 149 ยูนิต
  • อาคาร F จำนวน 172 ยูนิต

งั้นเรามาดูกันว่าแต่ละอาคารมีจุดเด่นหรือจุดที่ควรคำนึงในส่วนไหนบ้าง

  • อาคาร A : จะอยู่ด้านหน้าโครงการ สามารถเข้า-ออกโครงการได้ง่าย
  • อาคาร B : จะไม่มีพื้นที่ส่วนกลางภายในอาคารเลย ทำให้ได้บรรยากาศเหมาะแก่การอยู่อาศัย รวมถึงห้องฝั่งนึงจะหันมาเปิดรับวิวพื้นที่ส่วนกลาง Green Odyssey Space ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
  • อาคาร C (Pet-Friendly) : เป็นอาคารที่อยู่ด้านในสุดของโครงการ เป็นการออกแบบแยกอาคารออกมาไม่ให้รบกวนลูกบ้านที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ มีสวนสีเขียวตรงดาดฟ้าพาน้องๆสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นได้ พร้อมทางเดินเชื่อมไปยังอาคาร D โดยห้องบางส่วนที่หันเข้ามาด้านในจะได้วิวส่วนกลางด้วย
  • อาคาร D (Pet-Friendly) : เป็นอาคารเลี้ยงสัตว์ได้ที่อยู่ด้านในสุดของโครงการเหมือนกับอาคาร C แต่อาคารนี้จะมีส่วนกลางของสัตว์เลี้ยงให้ใช้งานครบครันเลย ทำให้ห้องพักในชั้น 2 จะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่ก็มาใช้งานส่วนกลางได้ง่าย นอกจากนั้นห้องที่หันเข้ามาด้านในจะได้วิว Green Odyssey Space ค่ะ
  • อาคาร E : มีฟังก์ชันส่วนกลางส่วนใหญ่ภายในอาคาร ทำให้ลูกบ้านในอาคารนี้มาใช้งานได้ง่าย แต่ก็จะมีบรรยากาศที่คึกคักและพลุกพล่านมากกว่าอาคารอื่นๆ โดยเฉพาะชั้น 2 นอกจากนั้นห้องพักในอาคารนี้เปิดรับวิวสวนส่วนกลางเกือบทุกห้องเลยค่ะ
  • อาคาร F : เป็นอาคารที่มีฟังก์ชันส่วนกลางตรงชั้น 2 เหมือนกับอาคาร D และ E ทำให้เหมาะกับลูกบ้านที่ชอบใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงห้องที่หันเข้ามาด้านในก็จะได้วิวพื้นที่ส่วนกลาง Green Odyssey Space ค่ะ

Image 1/18
อาคาร A

อาคาร A

นอกจากนั้นเราได้วงตำแหน่งห้องที่น่าสนใจมาให้ดูกันด้วยนะ ตามด้านล่างนี้ค่ะ

  • กรอบสีน้ำเงิน – ห้องที่ติดเพื่อนบ้านด้านเดียว ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งมักจะเป็นห้องที่อยู่มุมอาคารหรือติดบันไดหนีไฟค่ะ
  • กรอบสีแดง – ห้องที่ไม่ติดเพื่อนบ้านเลย แต่อยู่ใกล้ลิฟต์ ทำให้ขึ้น-ลงอาคารได้ง่าย แต่จะมีเสียงดังพลุกพล่านในตอนเช้าที่คนไปทำงานหรือตอนเย็นหลังเลิกงาน นอกจากช่วงเวลานั้นก็จะได้ความเป็นส่วนตัว เพราะไม่ติดกับเพื่อนบ้านห้องอื่นเลย
  • กรอบสีเขียว – ห้องที่เปิดรับวิวสวนส่วนกลาง ทำให้ได้วิวสวยๆจากภายในห้องเลยนั่นเอง รวมถึงฟังก์ชันในสวนส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่นั่งเล่น-เดินเล่นที่ไม่เกิดเสียงดังมากนัก
  • กรอบสีฟ้า – ห้องที่ติดเพื่อนบ้านด้านเดียวและเปิดรับวิวสวนส่วนกลาง ทำให้ได้ทั้งความเป็นส่วนตัวและวิวสวยๆของโครงการ
  • กรอบสีชมพู – โซนที่มีห้องเพื่อนบ้านน้อย ทำให้ได้ความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย
  • กรอบสีส้ม – ห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด เพราะไม่ติดกับเพื่อนบ้านห้องอื่นเลย ทำให้ไม่ได้ยินเสียงดังรบกวนนั่นเอง
  • กรอบเหลือง – ห้องที่ไม่ติดเพื่อนบ้านเลย แต่อยู่ใกล้พื้นที่ส่วนกลาง ทำให้อาจได้ยินเสียงดังรบกวนจากพื้นที่ส่วนกลางได้ แต่ในช่วงที่ยังไม่เปิดให้ใช้งานส่วนกลาง ก็จะได้ความเป็นส่วนตัวสูงค่ะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

ชั้น 1

  • อาคาร A
    – The Parlour (Welcome Lobby)
    – Juristic Room
    – 2 Shops
  • อาคาร E
    – Lobby
    – The Pulse ห้องออกกำลังกาย
    – The Aqua สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 8.90×30 เมตร ความลึก 1.20 เมตร พร้อม Jacuzzi และ Shallow Pool (เฉพาะส่วนสระว่ายน้ำขนาด 6×30 เมตร)
    – Glow Yard พื้นที่นั่งเล่นในสวน
    – Outdoor Co-Working Space พื้นที่นั่งทำงานในสวน
    – Pulse Station พื้นที่ยืดเหยียด ออกกำลังกายกลางแจ้ง
  • ชั้น 2
    อาคาร D
    – Relaxing Garden พื้นที่สวนสีเขียว พร้อมที่นั่งแบบบาร์
    – Play Yard & Furground พื้นที่สวนสีเขียวของสัตว์เลี้ยง
    – Palductive Space พื้นที่นั่งทำงาน พร้อมอุปกรณ์-ของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง
    – Pal Grooming พื้นที่อาบน้ำ-ตัดแต่งขนสัตว์เลี้ยง
    อาคาร E
    – The Lounge พื้นที่นั่งเล่น-ทำงาน
    – Creative Hub พื้นที่ Co-Working Space
    – Flow Room ห้องทำงานแบบส่วนตัว
    – Focus Room ห้องประชุม
    – Entertainment Room ห้องสตูดิโอ ถ่ายงานได้
    – Urban Lounge ห้องนั่งเล่นแบบส่วนตัว
    – Work Hub ห้องทำงานแบบส่วนตัว
    – The Aspire Common ห้องทำงานและพื้นที่นั่งเล่น
    – The Loop ทางเดิน-บันไดเชื่อมพื้นที่ส่วนกลางชั้น 1-2 พร้อมพื้นที่นั่งเล่นในสวน
    อาคาร F
    – Lively Yard พื้นที่นั่งเล่นในสวน
    – The Canopy Lounge พื้นที่กลางแจ้ง
    – The Retreat & The Junction Room พื้นที่นั่งเล่น-ทำงาน
  • Rooftop
    – Sky Pal Garden & Cloud Pal พื้นที่สวนสีเขียว พาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นได้
  • ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 93 :  1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก A 110 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก B 108 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก C 98 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก D 86 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก E 74 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก F 86 : 1
  • ที่จอดรถประมาณ 409 คัน คิดเป็น 36.3% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
  • EV Charger ภายในโครงการ
  • Shuttle Service บริการรับ-ส่งลูกบ้านมา BTS อุดมสุข
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ
    – รูปแบบประตูทางเข้า-ออกโครงการ (รถยนต์) : รั้วกั้นไม้กระดก
    – ระบบในการเข้า-ออก (รถยนต์) : จดจำป้ายทะเบียนรถยนต์
    – ระบบในการเข้า-ออก (เดินเข้าออก ขึ้นลงอาคาร) : Face Scan
    – CCTV ส่วนกลาง
    – เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
    – รั้วทึบรอบโครงการ : รั้วทึบสูง 3.00 เมตร

แบบห้อง

Highlight

  • แบบห้องเริ่มต้นขนาดใหญ่ 27 ตร.ม. แตกต่างจากคอนโดเพื่อนบ้านที่มีขนาดเริ่มต้น 23-25 ตร.ม. ทำให้อยู่อาศัยได้สะดวกสบาย
  • แนวคิด “Pet Humanization – Through Material” ปรับและอัพเกรดสเปควัสดุให้เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นพื้น สีทาผนัง ราวกันตกและพื้นที่-เฟอร์นิเจอร์ของสัตว์เลี้ยง
  • Layout หลากหลาย เลือกได้ตรงไลฟ์สไตล์ มีทั้งห้องครัวปิด, พื้นที่ครัวติดระเบียง, พื้นที่นั่งเล่น-นอนอยู่บริเวณเดียวกัน, กั้นแบ่งห้องนอนเป็นสัดส่วน, มีพื้นที่ Walk-in Closet หรือประตูห้องน้ำเข้า-ออกได้ 2 ทาง ใช้งานง่าย

โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 มีรูปแบบห้องพักอาศัยทั้ง 1 Bedroom ไปจนถึง 2 Bedroom จึงเหมาะกับคนที่หาคอนโดไม่ไกลเมือง ใกล้รถไฟฟ้าหรือใกล้ที่ทำงาน สามารถอยู่กัน 1-2 คนได้สบายๆไปจนถึงครอบครัวขนาดเล็กเลย รวมถึง Pet Parent ที่มีน้องๆสัตว์เลี้ยงเป็นครอบครัวด้วย โดยจะขายในรูปแบบ Fully Fitted มีเคาน์เตอร์ครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าบางส่วนมาให้

  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 27ตร.ม.
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 35 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus (Corner) พื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม.
  • 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 45 ตร.ม.

โครงการนี้ถือว่ามีห้องเริ่มต้นขนาดใหญ่ 27 ตร.ม. แตกต่างจากคอนโดสุขุมวิทอื่นๆที่เป็นคอนโด Low Rise หรือเลี้ยงสัตว์ได้ มีขนาดเริ่มต้น 23-25 ตร.ม. ทำให้ได้บรรยากาศภายในห้องของโครงการนี้ที่อยู่สบายมากขึ้น โดยห้องขนาด 30.5 ตร.ม. จะมีจำนวนยูนิตมากสุดในโครงการ ส่วน Layout ห้องของโครงการก็มีให้เลือกหลากหลาย จึงเลือกห้องได้ตรงตามไลฟ์สไตล์เลย ทั้งห้องครัวปิด, พื้นที่ครัวติดระเบียง, พื้นที่นั่งเล่น-นอนอยู่บริเวณเดียวกัน, กั้นแบ่งห้องนอนเป็นสัดส่วน, มีพื้นที่ Walk-in Closet หรือประตูห้องน้ำเข้า-ออกได้ 2 ทาง ใช้งานง่าย

นอกจากนั้นทุกแบบห้องจะมีห้องแบบ Pet-Friendly ที่เลี้ยงสัตว์ได้ด้วย โดยจะมีการปรับและอัพเกรดสเปควัสดุให้เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ตามแนวคิด “Pet Humanization – Through Material” ที่ดีต่อสุขภาพทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นผนังหนา 2 ชั้น, สีทาผนัง, พื้น SPC, กระเบื้อง Anti-Slip, Pet Area, Pet Door, Floor Drain และราวกันตกที่ออกแบบเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้ห้องแบบ Pet-Friendly จึงมีราคาสูงกว่าห้องทั่วไปประมาณ 300,000 บาทนะคะ

วัสดุภายในห้อง
– พื้นห้อง : ลามิเนตลายไม้ หนา 8 มม.
– พื้นระเบียง : กระเบื้องเซรามิก ขนาด 30×30 เซนติเมตร
– ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.40 เมตร
– ผนังห้องฉาบเรียบทาสีขาว
– กรอบบานหน้าต่างอลูมิเนียม
– กระจกหน้าต่างห้อง : กระจกลามิเนตและ Tempered Glass
– ไฟดาวน์ไลท์
– ปลั๊ก-สวิตช์ไฟฟ้า จาก SCHNEIDER
– เครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก Panasonic มีเทคโนโลยี nanoe™ X ช่วยยับยั้งเชื้อโรค กลิ่นและกรองฝุ่นได้ (จำนวนชิ้นขึ้นอยู่กับแบบห้อง)

วัสดุห้องครัว
– พื้นห้องครัว : กระเบื้องเซรามิก ขนาด 60×60 เซนติเมตร
– เคาน์เตอร์ครัว Top Counter เป็นหินสังเคราะห์สีขาว พร้อม Built-in ชั้นวางของด้านบน-ล่าง หน้าบานเฟอร์นิเจอร์ปิดผิวลามิเนต
– Backsplash : กระเบื้อง
– อ่างล้างจาน, Hob และ Hood จาก TEKA

วัสดุห้องน้ำ
– พื้นห้องน้ำ : กระเบื้องเซรามิก ขนาด 60×60 เซนติเมตร
– สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ (ก๊อกน้ำ อ่างล้างมือ โถสุขภัณฑ์และฝักบัว) จาก COTTO (ยกเว้นฉากกั้นกระจกอาบน้ำจาก ShowerKing)

สเปควัสดุที่เพิ่มขึ้นมาในห้อง Pet-Friendly (อาคาร C-D)
– พื้นห้อง : SPC ลายไม้ หนา 4 มม. (ทนทานต่อรอยขีดข่วนและความชื้นได้ดี)
– ผนังห้องฉาบเรียบทาสี Organic Care จาก TOA (ลดสาร Formaldehyde ในอากาศ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยง)
– ราวกันตก มีระยะห่างของแต่ซี่น้อย เพิ่มความปลอดภัยให้สัตว์เลี้ยง
– ผนังมวลเบาหนา 2 ชั้น บริเวณพื้นที่นั่งเล่นและห้องนอน
– กระเบื้องห้องครัวและห้องน้ำแบบ Anti-Slip ขนาด 60×60 เซนติเมตร ได้ผิวสัมผัสหยาบขึ้น (R10-11) ป้องกันการลื่น
– Floor Drain ช่วยลดกลิ่นและกักเก็บเส้นผม-ขนสัตว์เลี้ยง ป้องกันการอุดตัน
– Pet Door ประตูสัตว์เลี้ยงตรงประตูห้องน้ำ เข้า-ออกห้องน้ำได้ง่าย
– Pet Area บริเวณด้านล่างของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือในห้องน้ำ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

วันนี้เราได้เก็บภาพห้องตัวอย่าง 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม. ที่มีจำนวนยูนิตมากที่สุดในโครงการ โดยจะมี 2 ห้องทั้งแบบห้องปกติทั่วไปและห้อง Pet-Friendly ค่ะ


1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม. (Type B1)

สำหรับห้องตัวอย่างหลังแรกที่เราพามาชมกัน ได้แก่ 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม. (Type B1) ซึ่งขนาดนี้จะมีจำนวนยูนิตมากสุดในโครงการเลย ถือเป็นขนาดห้องที่สามารถอยู่อาศัยคนเดียวได้สบายๆเลยนะ

จุดเด่นของแบบห้องนี้คือ “พื้นที่ครัวติดระเบียง” เพราะสามารถเปิดระบายอากาศไปทางระเบียงได้ อีกทั้งยังกั้นประตูครัวเพิ่มได้ เหมาะกับคนที่ชอบทำอาหารภายในห้องบ่อยๆค่ะ ส่วนภายในห้องออกแบบพื้นที่เป็น 2 ฝั่ง แบ่งเป็นพื้นที่พักผ่อนและ Service แยกใช้งานได้ชัดเจนดี ส่วนห้องนอนก็กั้นปิด ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

  • แบ่งพื้นที่ภายในห้องเป็น 2 ฝั่ง เป็นโซนพักผ่อนและโซน Service ทำให้ได้พื้นที่เป็นสัดส่วนแยกกันชัดเจน
  • Common Area เป็นพื้นที่นั่งเล่นและรับประทานอาหาร สามารถวางเฟอร์นิเจอร์ได้ยืดหยุ่น
  • ห้องนอน สามารถวางเตียง 5-6 ฟุตและตู้เสื้อผ้าในห้องได้
  • มุมอเนกประสงค์ด้านหน้าห้องน้ำ ใช้เป็นพื้นที่นั่งทำงาน-แต่งหน้าได้
  • ห้องน้ำ ใช้งานได้ง่ายจากทั้ง Common Area และห้องนอน
  • พื้นที่ครัวติดระเบียง สามารถเปิดระบายกลิ่น-ควันจากการทำอาหารไปทางระเบียงได้ รวมถึงกั้นประตูเป็นครัวปิดได้
  • ระเบียง แขวน Condensing Unit ไว้ด้านบน จึงมีพื้นที่ด้านล่างตั้งเครื่องซักผ้าได้สบาย

Image 1/5
Common Area

Common Area

การออกแบบพื้นที่ภายในห้องจะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ โซนพักผ่อนอย่าง Common Area และห้องนอน ส่วนอีกฝั่งจะเป็นห้องน้ำ ห้องครัวและระเบียง ทำให้แบ่งแยกการใช้งานได้เป็นสัดส่วนดีค่ะ

เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับ Common Area ขนาด 2.45×3.90 เมตร โดยจะออกแบบเป็น Open Plan เชื่อมพื้นที่นั่งเล่น พื้นที่รับประทานอาหารและมุมอเนกประสงค์ ทำให้เราสามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ยืดหยุ่น อีกทั้งได้พื้นที่ภายในห้องที่ไหลต่อเนื่องกัน ใช้งานได้ง่ายด้วย

สำหรับวัสดุปูพื้นบริเวณ Common Area นี้จะเป็นพื้นลามิเนตลายไม้ หนา 8 มม. ที่มีผิวสัมผัสเหมือนไม้ ได้ความรู้สึกอบอุ่นดี ส่วนผนังและเพดานจะเป็นแบบฉาบเรียบทาสีขาวและไฟแบบดาวน์ไลท์, ปลั๊ก-สวิตช์ไฟฟ้า จาก SCHNEIDER และเครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก Panasonic ที่มีเทคโนโลยี nanoe™ X จึงช่วยยับยั้งเชื้อโรค กลิ่นและกรองฝุ่นภายในห้อง ทำให้ได้คุณภาพอากาศที่ดีค่ะ ซึ่งจำนวนเครื่องปรับอากาศที่ทางโครงการติดตั้งมาให้จะแตกต่างกันตามแบบห้องนะคะ สำหรับความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานจะอยู่ที่ 2.40 เมตร ซึ่งเป็นความสูงห้องตามมาตรฐานคอนโดทั่วไปค่ะ

พื้นที่นั่งเล่นมีขนาด 2.45×2.60 เมตร โดยเราสามารถ Built-in ชั้นวางทีวีและตู้เก็บของ รวมไปถึงตู้เก็บรองเท้าได้เลย ส่วนอีกฝั่งก็วางโซฟายาว 2-3 ที่นั่งพร้อมโต๊ะกลางเล็กๆ เพื่อให้มีทางเดินผ่านเข้า-ออกห้องได้ค่ะ โดยจะมีระยะดูทีวีอยู่ที่ 2.15 เมตร ตั้งทีวีขนาด 40 นิ้วได้

บริเวณด้านข้างของพื้นที่นั่งเล่นจะมีเป็นพื้นที่นั่งรับประทานอาหารที่สามารถตั้งเป็นโต๊ะ-เก้าอี้ 2 ตัวได้กำลังพอดีเหมือนห้องตัวอย่างเลยค่ะ

ทางโครงการออกแบบกั้นประตูกระจกระหว่าง  Common Area และห้องนอน ทำให้ภายในห้องนอนได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยการเลือกประตูกระจกขนาดใหญ่แบบ Full Height 2.40 เมตร ก็ช่วยดึงแสงธรรมชาติจากด้านนอกเข้ามายัง Common Area ดูสว่างมากขึ้น รวมถึงพอเลือกใช้เป็นประตูบานเลื่อน 3 ตอนก็ทำให้เปิด-ปิดได้กว้างดี ได้บรรยากาศโปร่งโล่งเวลาที่เปิดเชื่อม Common Area-ห้องนอน อีกทั้งยังสะดวกเวลาขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆด้วยอย่างพวกเตียงหรือตู้

Image 1/3
ห้องนอน

ห้องนอน

ห้องนอนมีขนาด 2.50×3.50 เมตร สามารถวางเตียง 5 ฟุตได้สบายๆ มีพื้นที่รอบเตียงประมาณ 0.50-0.60 เมตร ส่วนพื้นที่ด้านข้างก็สามารถตั้งโต๊ะข้างเตียงและตู้เสื้อผ้าได้ มีพื้นที่ยืนแต่งตัวกว้างประมาณ 1.10 เมตรด้วย สำหรับช่องแสงภายในห้องจะไม่ได้เป็นแนวกว้าง แต่เป็นหน้าต่างทรงสูง 2 จุดแทน ก็สามารถเปิดรับแสงและวิวได้กว้างดีนะคะ

ต่อมาเราจะพามาดูอีกฝั่งของห้องกันบ้าง โดยจะมีห้องน้ำ มุมอเนกประสงค์ พื้นที่ครัวและระเบียง ซึ่งห้องน้ำก็จะอยู่ถัดจากพื้นที่นั่งเล่นเลยนั่นเอง โดยมีมุมอเนกประสงค์อยู่ด้านหน้าห้องน้ำค่ะ

สำหรับมุมอเนกประสงค์บริเวณด้านหน้าห้องน้ำ มีขนาดประมาณ 1.55×1.65 เมตร ซึ่งเราสามารถใช้เป็นพื้นที่นั่งทำงานเหมือนที่ทางบ้านตัวอย่างตกแต่งได้เลย รวมถึงจะใช้เป็นพื้นที่โต๊ะแต่งหน้าหรือ Built-in เป็นชั้นวางของ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหรือของสะสมต่างๆก็ได้ ให้เราสามารถใส่ไอเดียตรงนี้ได้เต็มที่นะคะ

Image 1/8
ห้องน้ำ

ห้องน้ำ

ห้องน้ำมีขนาดประมาณ 1.50×2.20 เมตร ตรงด้านล่างประตูจะมีกั้นธรณีประตูสูงขึ้นมาจากระดับพื้นห้อง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกไปด้านนอกนั่นเอง ส่วนการออกแบบภายในห้องน้ำจะแบ่งพื้นที่ส่วนเปียก-แห้งมาให้ชัดเจน ปูพื้นห้องน้ำเป็นกระเบื้องเซรามิก ขนาด 60×60 เซนติเมตร สามารถเช็ด-ทำความสะอาดได้ง่าย

สุขภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งหมดอย่างก๊อกน้ำ อ่างล้างมือ โถสุขภัณฑ์และฝักบัว เลือกใช้จาก COTTO เราชอบที่ตรงเคาน์เตอร์อ่างล้างมือมีตู้เก็บของด้านล่าง สำหรับเก็บพวกผ้าเช็ดตัวต่างๆหรือพวกอุปกรณ์ทำความสะอาดได้ อีกทั้งมีตู้กระจกส่องที่สามารถเปิดเพื่อเก็บของอย่างพวกอุปกรณ์แปรงฟัน ครีมบำรุงหรือน้ำหอมได้ด้วยนะ

ส่วนพื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 0.85×1.00 เมตร พร้อมเว้นพื้นที่ด้านข้างเหมาะตั้งชั้นวางอุปกรณ์อาบน้ำ จะได้หยิบใช้งานได้สะดวกดี รวมถึงติดตั้งฉากกั้นกระจกอาบน้ำ 3 ตอนจาก ShowerKing จึงเปิด-ปิดได้กว้างและป้องกันไม่ให้น้ำกระเด็นไปเลอะบริเวณอื่นภายในห้องน้ำ อีกทั้งติดตั้งเครื่องดูดอากาศ เพื่อลดความชื้นภายในห้องน้ำมาให้ด้วยค่ะ

ต่อมาเราจะพาไปดูพื้นที่ครัวติดระเบียงที่เชื่อมต่อมาจากมุมอเนกประสงค์และห้องน้ำกันค่ะ

ถึงแม้ทางโครงการจะออกแบบเป็นพื้นที่ครัวติดระเบียง แต่จะเป็นครัวแบบเปิด ไม่ได้มีการกั้นประตูปิด ทำให้ถึงแม้จะเปิดประตูระบายอากาศไปทางระเบียงตอนที่กำลังทำอาหารอยู่ ก็อาจจะมีกลิ่น-ควันส่วนนึงลอยเข้าไปติดเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องได้นะคะ

ดังนั้นเราแนะนำให้กั้นประตูเพิ่มเป็นครัวปิดไปเลยสำหรับคนที่ทำอาหารเป็นประจำ นอกจากป้องกันปัญหาเรื่องกลิ่นอาหารแล้ว ยังได้พื้นที่ที่เป็นสัดส่วนมากขึ้นด้วยค่ะ

Image 1/5
ห้องครัว

ห้องครัว

ห้องครัวมีขนาดประมาณ 1.35×2.15 เมตร ปูพื้นเป็นกระเบื้องเซรามิก ขนาด 60×60 เซนติเมตร ที่สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ซึ่งทางโครงการได้ Built-in ชุดเคาน์เตอร์ครัวมาให้เหมือนห้องตัวอย่างเลย โดย Top Counter เป็นหินสังเคราะห์สีขาว พร้อม Built-in ชั้นวางของด้านบน-ล่าง สามารถเก็บอุปกรณ์ของใช้ในครัวได้เยอะและเป็นระเบียบดี ส่วนหน้าบานเฟอร์นิเจอร์ปิดผิวลามิเนต จึงทนต่อความร้อนและรอยขีดข่วนได้ดี โดยจะมีพื้นที่ยืนทำอาหารกว้างประมาณ 0.80 เมตร

สำหรับพื้นที่บนเคาน์เตอร์ก็มีขนาดกว้างดี พร้อมติดตั้งอ่างล้างจาน, Hob และ Hood จาก TEKA อีกทั้งติดตั้ง Backsplash เป็นกระเบื้องบริเวณผนังด้านหลังเคาน์เตอร์ ช่วยป้องกันไม่ให้เลอะเศษอาหารต่างๆ รวมถึงเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายด้วย แต่ Hood ที่ทางโครงการติดตั้งมาให้ไม่ได้เป็นระบบหมุนเวียนที่ดูดควันไปปล่อยนอกอาคาร ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนไส้กรองเพื่อให้ดูดซับกลิ่นและควันได้อย่างเต็มที่ด้วยค่ะ นอกจากนั้นเราชอบที่ติดตั้งรางลิ้นชักใต้อ่างล้างมือ ช่วยให้หยิบของได้ง่ายดี อีกทั้งมีแผ่นปิดตรงอ่างล้างมือ ช่วยเพิ่มพื้นที่เตรียมอาหารตรงเคาน์เตอร์ได้กว้างมากขึ้นด้วย

ทางโครงการเลือกใช้เป็นประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนก่อนที่จะออกไปยังระเบียง จึงเปิด-ปิดได้กว้าง อีกทั้งช่วยดึงแสงเข้ามาภายในห้องได้ดี

ระเบียงมีขนาดประมาณ 1.35×1.35 เมตร ปูพื้นเป็นกระเบื้องเซรามิก ขนาด 30×30 เซนติเมตร จึงทำความสะอาดได้ง่าย โดยจะแขวน Condensing Unit ไว้ด้านบน ทำให้มีพื้นที่ด้านล่างตั้งเป็นเครื่องซักผ้าและราวตากผ้าได้นั่นเอง รวมถึงยังทำเป็นมุมปลูกต้นไม้ เพิ่มวิวสีเขียวได้ด้วยนะ นอกจากนั้นยังออกแบบเป็นระแนงพรางสายตาตรงพื้นที่ Condensing Unit ทำให้ดูสวยงามดีเมื่อมองจากด้านนอกอาคารค่ะ


1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม. (Type B2) แบบ Pet-Friendly

ต่อมาเราจะพามาดูห้อง Pet-Friendly เลี้ยงสัตว์ได้กันบ้าง โดยห้องตัวอย่างจะเป็น 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม. (Type B2) ซึ่งจะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเท่ากับห้องตัวอย่างที่เราพอไปดูกันมาเมื่อกี้ แต่มีการออกแบบพื้นที่ในห้องที่แตกต่างกันนะ โดยจะย้ายพื้นที่ครัวมาอยู่บริเวณด้านหน้าห้อง พื้นที่นั่งเล่นและห้องนอนได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เหมาะกับคนที่ทำแค่อาหารง่ายๆ ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ อีกทั้งเน้นพื้นที่พักผ่อนเป็นหลัก

สำหรับจุดเด่นของห้องนี้ คือ “Common Area ขนาดใหญ่และจัดวางฟังก์ชันลงตัว” เพราะออกแบบเชื่อมพื้นที่ครัว นั่งเล่น รับประทานอาหารและมุมอเนกประสงค์เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ได้ความโปร่งโล่ง รวมถึงมีการกั้นกำแพงขึ้นมา มีพื้นที่ทำเป็นตู้เก็บของและมุมนั่งทำงานใกล้ๆพื้นที่นั่งเล่นด้วย อีกทั้งในห้องนอนก็มีมุมแต่งตัวแบบลงตัวพอดี

  • โซนพักผ่อนมีความเป็นส่วนตัว เพราะออกแบบโซน Service อยู่ด้านหน้าเป็น Buffer Zone ช่วยป้องกันเสียงดังจากโถงทางเดิน
  • พื้นที่ครัวแบบเปิด สามารถทำอาหารง่ายๆได้
  • Common Area เชื่อมพื้นที่ครัว นั่งเล่น รับประทานอาหารและมุมอเนกประสงค์
  • มุมอเนกประสงค์ ใช้เป็นพื้นที่นั่งทำงานได้สบาย
  • ห้องนอน สามารถวางเตียง 5-6 ฟุตและตู้เสื้อผ้าได้สบายๆ
  • ห้องน้ำ แบ่งเป็นสัดส่วน มีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย
  • ระเบียง แขวน Condensing Unit ไว้ด้านบน มีพื้นที่ด้านล่างใช้งานได้

นอกจากนั้นพอเป็นห้อง Pet-Friendly ที่อยู่อาศัยกับน้องๆสัตว์เลี้ยง จึงมีการปรับและอัพเกรดสเปคบางส่วนให้เหมาะกับการอยู่อาศัยกับสัตว์เลี้ยงตามแนวคิด “Pet Humanization – Through Material” นั่นเอง

ไม่ว่าจะเป็นพื้น SPC ทนต่อรอยขีดข่วนและความชื้น, ทาสี Organic Care ลดสาร Formaldehyde ในอากาศ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยง, ออกแบบราวกันตก มีระยะห่างของแต่ซี่น้อย เพิ่มความปลอดภัยให้สัตว์เลี้ยง, ผนังมวลเบาหนา 2 ชั้น บริเวณพื้นที่นั่งเล่นและห้องนอน ช่วยลดเสียงดังรบกวน, กระเบื้องห้องครัวและห้องน้ำแบบ Anti-Slip ป้องกันการลื่น, Floor Drain ช่วยลดกลิ่นและกักเก็บเส้นผม-ขนสัตว์เลี้ยง ป้องกันการอุดตัน, Pet Door ประตูสัตว์เลี้ยงตรงประตูห้องน้ำ เข้า-ออกห้องน้ำได้ง่าย และ Pet Area บริเวณด้านล่างของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือในห้องน้ำค่ะ

ด้วยสเปคของห้องแบบ Pet-Friendly ที่ดีต่อการอยู่อาศัยของทั้งคนและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น จึงมีราคาห้องที่สูงกว่าห้องทั่วไปประมาณ 300,000 บาทนะคะ งั้นเราพาไปชมห้องตัวอย่างกันเลยค่ะ

ทางโครงการออกแบบแบ่งพื้นที่ภายในห้องเป็น 2 โซน ได้แก่ โซน Service (พื้นที่ครัวและห้องน้ำ) อยู่บริเวณด้านหน้าเป็น Buffer Zone ช่วยป้องกันเสียงจากโถงทางเดินไม่ให้เข้าไปรบกวนโซนพักผ่อนโซนพักผ่อน (พื้นที่นั่งเล่นและห้องนอน) ที่อยู่ด้านในนั่นเอง ทำให้ได้บรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยมากขึ้น

นอกจากนั้นยังสะดวกเวลามีช่างมาซ่อมแซมบำรุงรักษาก็ง่าย ไม่ต้องเดินผ่านพื้นที่อื่นๆภายในห้อง รวมถึงโซนพักผ่อนทั้งพื้นที่นั่งเล่นและห้องนอนก็ได้ความสว่างที่ส่องเข้ามาภายในห้องด้วย เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับการออกแบบ Open Plan เชื่อมพื้นที่ครัว นั่งเล่น รับประทานอาหารและมุมอเนกประสงค์อยู่บริเวณเดียวกันค่ะ

Image 1/4
พื้นที่ครัว

พื้นที่ครัว

พื้นที่ครัวจะอยู่ด้านหน้าห้องเลย มีขนาดอยู่ที่ 1.8×2.10 เมตร ติดตั้งชุดเคาน์เตอร์ครัวจะได้ Built-in มาเหมือนห้องตัวอย่างเลยค่ะ มี Top Counter เป็นหินสังเคราะห์สีขาว พร้อม Built-in ชั้นวางของด้านบน-ล่าง หน้าบานเฟอร์นิเจอร์ปิดผิวลามิเนต ทนต่อความร้อนและรอยขีดข่วนของสัตว์เลี้ยงได้และมีพื้นที่ยืนทำอาหารกว้างประมาณ 1.30 เมตร ทำให้เดินผ่านหรือหมุนตัวหยิบของได้สบายๆ

นอกจากนั้นทางโครงการได้ติดตั้งอ่างล้างจาน, Hob และ Hood จาก TEKA รวมถึง Backsplash เป็นกระเบื้องบริเวณผนังด้านหลังเคาน์เตอร์มาให้เช็ดทำความสะอาดได้เรียบร้อยเลย แต่ Hood นี้ไม่ได้เป็นระบบหมุนเวียนที่ดูดควันไปปล่อยนอกอาคาร ทำให้ต้องเปลี่ยนไส้กรองเป็นประจำด้วยนะคะ อีกทั้งยังติดตั้งรางลิ้นชักใต้อ่างล้างจานและมีแผ่นปิดตรงอ่างล้างมือ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายเวลาเตรียมอาหารหรือใช้งานตรงพื้นที่ครัวได้ดีเลย

แต่ทางโครงการออกแบบเป็นห้องครัวแบบเปิด จึงเหมาะกับคนที่ไม่ได้ทำอาหารบ่อยๆหรือทำอาหารแค่ง่ายๆ หากใครที่ไม่ชอบให้มีกลิ่น-ควันจากการทำอาหารลอยเข้าไปติดเฟอร์นิเจอร์ภายในห้อง เราก็แนะนำให้ติดตั้งประตูกระจกบานเลื่อนเพิ่ม ก็ทำให้ได้พื้นที่เป็นสัดส่วนมากขึ้นด้วย

Image 1/2
ประตูห้องน้ำติดตั้ง Pet Door

ประตูห้องน้ำติดตั้ง Pet Door

ห้องน้ำจะอยู่ถัดจากพื้นที่ครัวเลย ซึ่งตรงบานประตูห้องน้ำนี้ออกแบบแตกต่างจากห้องพักอาศัยทั่วไปด้วยนะ เพราะติดตั้ง Pet Door ประตูสัตว์เลี้ยง เพื่อให้น้องๆเดินเข้า-ออกห้องน้ำได้ง่ายค่ะ มีขนาดประมาณ 0.30 เมตร อีกทั้งมีฝาปิดด้วย รวมถึงมีออกแบบธรณีประตูยกสูงขึ้นมา เพื่อป้องกันน้ำไหลออกไปด้านนอกห้องน้ำด้วยค่ะ

Image 1/7
ห้องน้ำ

ห้องน้ำ

ห้องน้ำมีขนาด 1.50×2.20 เมตร ออกแบบแบ่งโซนเปียก-แห้งมาเป็นสัดส่วน พร้อมปูพื้นกระเบื้องแบบ Anti-Slip ขนาด 60×60 เซนติเมตร ที่มีผิวสัมผัสที่หยาบขึ้น ป้องกันไม่ให้น้องสัตว์เลี้ยงลื่นล้ม อีกทั้งยังดีต่อข้อต่อของน้องๆ (เลือกใช้พื้นกระเบื้องแบบ Anti-Slip นี้ในแบบห้องที่ได้ห้องครัวปิดด้วยนะ)

ส่วนการเลือกใช้สุขภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งหมดจาก COTTO มีตู้กระจกส่องที่สามารถเก็บของได้ สำหรับพื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 0.85×1.00 เมตร พร้อมฉากกั้นกระจกอาบน้ำ 3 ตอนจาก ShowerKing ที่เปิด-ปิดได้กว้างและช่วยไม่ให้น้ำกระเด็นไปเลอะบริเวณอื่น อีกทั้งมีเว้นพื้นที่ด้านข้างเพื่อตั้งชั้นวางอุปกรณ์อาบน้ำได้และมีเครื่องดูดอากาศ เพื่อลดความชื้นในห้องน้ำด้วยค่ะ

Image 1/3
ฝั่งซ้าย-ห้องปกติ / ฝั่งขวา-ห้อง Pet Friendly มี Pet Area บริเวณด้านล่างเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ

ฝั่งซ้าย-ห้องปกติ / ฝั่งขวา-ห้อง Pet Friendly มี Pet Area บริเวณด้านล่างเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ

ภายในห้องน้ำของ Pet-Friendly จะมีการปรับและอัพเกรดสเปคบางส่วนให้เหมาะกับการอยู่อาศัยกับสัตว์เลี้ยงที่นอกจากจะมี Pet Door ประตูสัตว์เลี้ยงและพื้นแบบ Anti-Slip แล้ว ยังมีบริเวณอ่างล้างมือของห้อง Pet-Friendly จะไม่มีตู้เก็บของด้านล่างมาให้ (ภาพที่ 1 ทางฝั่งขวา) เพื่อใช้พื้นที่ด้านล่างเป็น Pet Area วางเบาะนอน กระบะทรายหรือห้องน้ำสัตว์เลี้ยงได้ นอกจากนั้นน้องๆก็ยังใช้ Pet Door เดินเข้า-ออกห้องน้ำได้ง่าย รวมถึงออกแบบ Floor Drain ช่วยลดกลิ่นและกักเก็บเส้นผม-ขนสัตว์เลี้ยง (ภาพที่ 3 ทางฝั่งขวา) เพื่อป้องกันการอุดตันในท่อน้ำด้วยค่ะ

ทางโครงการมีออกแบบกั้นกำแพงยาวออกมาจากห้องน้ำและเว้นเป็นช่องกว้างประมาณ 0.40 เมตร ซึ่งสงสัยกันมั้ยว่าทำไมต้องมีส่วนนี้เพิ่มขึ้นมาด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่าได้เพิ่มความลงตัวในห้องมากขึ้นนั่นเอง

นอกจากจะได้พื้นที่ตกแต่งเหมือนห้องตัวอย่าง ทำเป็นตู้เก็บของ ตู้รองเท้าหรือชั้นวางพวกบัตร กุญแจ กระเป๋าที่หยิบใช้บ่อยๆแล้ว ยังมีพื้นที่ด้านหลังทำเป็นมุมอเนกประสงค์และจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ลงตัวเลยค่ะ ดังนั้นการกั้นกำแพงขึ้นมานิดหน่อยก็ช่วยทำให้เราใช้ประโยชน์พื้นที่ได้มากขึ้น แถมจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้เข้าที่เข้าทางลงตัวมากขึ้นด้วยนะคะ

Image 1/3
Common Area

Common Area

ต่อมาเรามาดูพื้นที่นั่งเล่น รับประทานอาหารและมุมอเนกประสงค์กัน มีขนาดอยู่ที่ 2.50×4.00 เมตร ปูพื้นเป็น SPC ลายไม้ หนา 4 มม. แตกต่างจากห้องปกติ (ลามิเนตลายไม้ หนา 8 มม.) จึงทนทานต่อรอยขีดข่วนและความชื้นจากสัตว์เลี้ยงได้ดี แต่ยังคงความรู้สึกอบอุ่น ส่วนผนังห้องเป็นผนังมวลเบาหนา 2 ชั้น บริเวณพื้นที่นั่งเล่นและห้องนอนฉาบ ช่วยป้องกันเสียงดังรบกวน อีกทั้งทาสี Organic Care จาก TOA ที่มีคุณสมบัติลดสาร Formaldehyde ในอากาศ ปลอดภัยต่อคนและสัตว์เลี้ยง, ไฟแบบดาวน์ไลท์, ปลั๊ก-สวิตช์ไฟฟ้า จาก SCHNEIDER และเลือกใช้เครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก Panasonic ที่มีเทคโนโลยี nanoe™ X ที่ยับยั้งเชื้อโรค กลิ่นและกรองฝุ่นภายในห้อง ถือว่าเลือกมาได้เหมาะกับห้องที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่อาศัยด้วยแบบนี้เลย ส่วนความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานจะอยู่ที่ 2.40 เมตร ตามมาตรฐานห้องคอนโดทั่วไปค่ะ

Image 1/2
พื้นที่นั่งเล่น

พื้นที่นั่งเล่น

พื้นที่นั่งเล่น มีขนาดประมาณ 2.25×3.00 เมตร โดยเราสามารถทำเหมือนที่ห้องตัวอย่างตกแต่งให้เป็นไอเดียได้เลย ไม่ว่าจะเป็น Built-in ชั้นวางทีวี, มีพื้นที่ด้านข้างเป็นมุมสัตว์เลี้ยงและวางโซฟายาว มีพื้นที่เดินรอบกว้างด้วย

ส่วนด้านข้างของพื้นที่นั่งเล่นจะมีมุมอเนกประสงค์ที่เราได้เกริ่นกันไปก่อนหน้านี้นิดนึงแล้วนะ โดยเราสามารถทำเป็นมุมนั่งทำงานแบบนี้หรือ Built-in เป็นชั้นวางของเต็มผนังได้เหมือนกัน มีความกว้างประมาณ 1.75 เมตรค่ะ

พื้นที่นั่งรับประทานอาหารจะอยู่ด้านหลังของพื้นที่นั่งเล่นเลยนะ สามารถจัดเป็นโต๊ะ-เก้าอี้ 2 ที่นั่งได้สบายๆ สามารถนั่งรับประทานอาหารพร้อมกับดูทีวี ติดตามข่าวสารต่างๆได้ด้วย อีกทั้งอยู่ถัดจากพื้นที่ครัวก็ทำให้จัดเสิร์ฟอาหารหรือไปล้างจานทำความสะอาดได้ง่ายดีค่ะ

ทางโครงการมีติดตั้งประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนขนาดใหญ่แบบ Full Height 2.40 เมตรมากั้นระหว่างห้องนอน ซึ่งนอกจากจะเปิด-ปิดได้กว้างแล้ว ยังช่วยดึงแสงธรรมชาติจากด้านนอกมายังพื้นที่นั่งเล่นตรงนี้นั่นเอง ช่วยให้ภายในห้องดูสว่าง ไม่มืดทึบค่ะ

Image 1/5
ห้องนอน

ห้องนอน

ห้องนอนมีขนาด 2.70×3.95 เมตร สามารถวางเตียง 5-6 ฟุต พร้อมโต๊ะข้างเตียงทั้ง 2 ฝั่งได้สบายๆ ส่วนพื้นที่รอบเตียงกว้างประมาณ 0.45 เมตร จึงแนะนำให้เลือกใช้เป็นทีวีแบบแขวนตรงปลายเตียงแทนนะคะ ส่วนช่องหน้าต่างจะมี 2 จุด ออกแบบเป็นทรงสูง สามารถเปิดรับแสงและวิวได้เยอะดี นอกจากนั้นจะมีพื้นที่แต่งตัวกว้างประมาณ 1.40×1.45 เมตร ตั้งตู้เสื้อผ้าเหมือนห้องตัวอย่างได้เลย มีพื้นที่ยืนแต่งตัวได้ด้วย

จากพื้นที่แต่งตัวจะมีประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนเปิดออกไปยังระเบียงด้านนอกค่ะ

ระเบียงมีขนาดประมาณ 1.30×1.35 เมตร ออกแบบแขวน Condensing Unit ไว้ด้านบน จึงมีพื้นที่ด้านล่างเพื่อตั้งเครื่องซักผ้าและราวตากผ้าได้ อีกทั้งยังเสริมด้วยกระถางต้นไม้ได้ด้วยนะ นอกจากนั้นมีระแนงพรางสายตาตรงพื้นที่ Condensing Unit ทำให้เวลามองจากข้างนอกก็ดูสวยงามดีค่ะ

จากภาพด้านบนจะเห็นว่าราวกันตกตรงระเบียงของห้อง Pet-Friendly (ภาพฝั่งขวา) จะมีระยะห่างของแต่ซี่น้อยกว่าห้องปกติ (ภาพฝั่งซ้าย) จึงไม่ต้องกังวลว่าน้องๆสัตว์เลี้ยงจะลอดผ่านราวกันตกไปได้ ถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้สัตว์เลี้ยงนั่นเอง

ดังนั้นเราจะเห็นว่าทางโครงการได้ออกแบบสเปคและวัสดุหลายๆอย่างมาเหมาะสมกับน้องๆสัตว์เลี้ยงที่อยู่อาศัยภายในโครงการนี้เลยค่ะ

แบบแปลน

แปลนห้องพักอาศัยในโครงการ

Image 1/24
1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 27 ตร.ม.

1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 27 ตร.ม.

แปลนห้อง Pet-Friendly เลี้ยงสัตว์ได้

Image 1/16
1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม.

1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม.

ราคา

ASPIRE Sukhumvit 103 (แอสปาย สุขุมวิท 103) ราคาเท่าไหร่ (ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568)

ราคาผ่อนต่อเดือนยกตัวอย่างจาก ดอกเบี้ย 4% ระยะเวลาผ่อน 30 ปี*
สามารถคลิกดูอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันได้ที่ >> อัปเดต! ดอกเบี้ยบ้าน 2568 ทุกธนาคาร

  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 27ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.20 ล้านบาท
    – ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 10,503 บาท
    – ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,242 บาทต่อเดือน
    – ค่ากองทุนเริ่มต้น 14,850 บาท
  • 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 30.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท
    – ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 12,365 บาท
    – ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,403 บาทต่อเดือน
    – ค่ากองทุนเริ่มต้น 16,775 บาท
  • 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 35 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.90 ล้านบาท
    – ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 13,845 บาท
    – ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,610 บาทต่อเดือน
    – ค่ากองทุนเริ่มต้น 19,250 บาท
  • 1 Bedroom Plus (Corner) พื้นที่ใช้สอย 38 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.40 ล้านบาท
    – ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 16,232 บาท
    – ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,748 บาทต่อเดือน
    – ค่ากองทุนเริ่มต้น 20,900 บาท
  • 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 45 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.90 ล้านบาท
    – ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 18,619 บาท
    – ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 2,070 บาทต่อเดือน
    – ค่ากองทุนเริ่มต้น 24,750 บาท
  • ห้อง Pet-Friendly มีราคาสูงกว่าห้องทั่วไปประมาณ 300,000 บาท
  • รูปแบบการขาย Fully Fitted
  • ค่าจอง เริ่มต้น 5,000 บาท
  • ค่าทำสัญญา เริ่มต้น 5,000 บาท
  • ดาวน์ 8 % ผ่อนดาวน์ 16-20 งวด
  • ค่ากองทุน 550 บาท/ตร.ม. (จ่ายครั้งเดียว)
  • ค่าส่วนกลาง 46 บาท/ตร.ม./เดือน
  • Promotion : ส่วนลดเงินสด 100,000 บาท, Gift voucher IKEA 60,000 บาท

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

Tips : แนะนำการขอสินเชื่อกับธนาคาร 

เกณฑ์การพิจารณาการขอสินเชื่อจากธนาคาร ควรมีเงื่อนไขตรงกับข้อไปนี้ค่ะ

  • มีรายรับชัดเจน สม่ำเสมอ(ไม่ผันผวน) ต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน และสามารถตรวจสอบได้
  • ควรมีภาระหนี้รวมทั้งหมด (ทั้งบ้าน รถยนต์ บัตรเครดิต และอื่นๆ) ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน
  • มีรายได้ต่อเดือนมากกว่าค่าผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3 เท่าขึ้นไป

หากต้องการผ่อนบ้านให้หมดไว แนะนำให้โปะเพิ่มประมาณ 10% ของงวดผ่อน จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้ 4 – 7 ปี (ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย) และควร Refinance หรือ Retention เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลงทุกๆ 3 ปี ทั้งนี้อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและตกแต่ง*ก่อนเข้าอยู่เพิ่มเติมด้วยนะคะ

บทสรุป

ทำเล :

โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103 เป็นคอนโด Low Rise เปิดใหม่ที่เลี้ยงสัตว์ได้เพียงแห่งเดียวบนเส้นอุดมสุขเลย เพราะคอนโดเพื่อนบ้านจะสร้างเสร็จเรียบร้อยหรือเป็นคอนโดเก่าแล้ว ทำให้โครงการนี้เป็น Rare Item ของหายากบนทำเลนี้นั่นเอง

โดยตั้งอยู่ติดถนนอุดมสุขหรือสุขุมวิท 103 ตรงซอยอุดมสุข 22 อิงมาฝั่งถนนสุขุมวิท อยู่ห่างจากถนนสุขุมวิทและ BTS อุดมสุขประมาณ 900 เมตร รวมถึงยังเชื่อมต่อไปถนนใหญ่ได้หลายเส้นทาง มีเส้นทางลัดเลาะเยอะด้วย อีกทั้งใกล้ทางด่วนและมี MRT เป็นตัวเลือกในการเดินทาง จึงเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือรถสาธารณะได้สะดวกสบายมากๆ

ส่วนเรื่องความอุดมสมบูรณ์ถือว่าสูงมากๆ เพราะเฉพาะเส้นอุดมสุขเองก็มีร้านค้า ร้านอาหารเยอะอยู่แล้ว อีกทั้งมี One Udomsuk, ตลาดคุณยิ้ม, Udomsuk Walk, Makro Food Service อุดมสุข และ Udomsuk Market Center ด้วย หากอยากจะไปห้างใหญ่ๆหน่อยก็มี True Digital Park, Central บางนา, PARC Bangna,Paradise Park ศรีนครินทร์, Seacon Square ศรีนครินทร์ ในระยะ 5 กิโลเมตร นอกจากนั้นยังมี Mega Projects ในอนาคตอย่าง Cloud 11 และ Bangkok Mall มาเพิ่มความคึกคักบนทำเลด้วยค่ะ

การเดินทางโดยใช้รถ :

ตั้งอยู่ติดถนนอุดมสุข จึงเดินทางเชื่อมต่อถนนใหญ่ได้ถึง 3 สายอย่างถนนสุขุมวิท, บางนา-ตราดและศรีนครินทร์ อีกทั้งมีเส้นทางให้ลัดเลาะเยอะมากๆ สามารถทะลุไปยังเส้นอ่อนนุชได้เลยนะคะ แต่ว่าในช่วงตอนเช้า-เย็นที่คนไป-กลับจากที่ทำงานกันจะมีการจราจรติดขัดบนเส้นอุดมสุขอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าสามารถเดินทางได้สะดวกมากๆค่ะ รวมถึงยังใกล้ทางพิเศษเฉลิมมหานครและบูรพาวิถี มีระยะห่าง 1.8-3.8 กิโลเมตร จึงเดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่าย

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :

ตัวโครงการจะอยู่ใกล้ BTS อุดมสุขประมาณ 900 เมตร ถือเป็นระยะที่ไม่ได้ใกล้มากนัก ทางโครงการจึงจัดเตรียม Shuttle Service บริการรถรับ-ส่งไปยัง BTS ด้วยนั่นเอง ทำให้มาขึ้นรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังมี MRT สถานีศรีอุดมเป็นตัวเลือกในการเดินทาง รวมถึงมีวินมอเตอร์ไซค์และรถสองแถววิ่งผ่านไป-มาตลอดทั้งวันให้เรียกใช้บริการกันได้สะดวกเลย

วัสดุ :

รูปแบบการขายของโครงการนี้เป็น Fully Fitted จึงต้องเผื่องบสำหรับตกแต่งห้องไว้ส่วนนึง ส่วนการเลือกใช้วัสดุในโครงการถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานของระดับราคา ปูพื้นลามิเนตลายไม้ ผนังและฝ้าเพดานฉาบเรียบ ทาสี มีไฟดาวน์ไลท์ ได้ชุดครัวครบจาก TEKA และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำจาก COTTO รวมถึงติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก Panasonic มาให้เรียบร้อย

แต่สำหรับห้อง Pet-Friendly Unit จะมีการออกแบบวัสดุและสเปคที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นผนังหนา 2 ชั้น, สีทาผนัง, ราวกันตกที่ถี่ขึ้น, พื้น SPC, กระเบื้อง Anti-Slip, Floor Drain กักเก็บขน, Pet Area และ Pet Door ทำให้น้องๆอยู่อาศัยได้สะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งไม่มีโครงการไหนในสุขุมวิทตอนปลายที่ออกแบบให้น้องๆสัตว์เลี้ยงขนาดนี้เลยนะ ถือว่าออกมารองรับและคำนึงถึงสัตว์เลี้ยงได้ดีมากๆ แต่ด้วยการอัพเกรดสเปคขึ้นมาก็ทำให้ห้องแบบ Pet-Friendly จะมีราคาสูงกว่าห้องทั่วไปนะคะ

การออกแบบ :

ถือเป็นโครงการใหญ่ มีทั้งหมด 6 อาคาร รวม 1,126 ยูนิต + 2 ร้านค้า โดยวางผังอาคารทั้ง 6 อาคาร ล้อมรอบเกิดพื้นที่ Court ตรงกลางและจัดเป็น Main Facilities ของโครงการ ทำให้ห้องพักส่วนนึงของโครงการที่หันเข้ามาด้านในจะได้วิวสวยๆของโครงการ นอกจากนั้นมีการกระจายฟังก์ชันส่วนกลางไปอยู่ในบางอาคารด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอาคาร C-D ที่เลี้ยงสัตว์ได้ จะมีส่วนกลางสำหรับน้องๆสัตว์เลี้ยงด้วย

รูปแบบห้องจะมีให้เลือกตั้งแต่ 1 Bedroom-2 Bedroom ทำให้จะอยู่คนเดียว เป็นคู่หรือครอบครัวขนาดเล็กก็ได้ ที่สำคัญมีขนาดห้องเริ่มต้นใหญ่ 27 ตร.ม. (เพื่อนบ้านเริ่ม 23-25 ตร.ม.) ทำให้ถึงจะเป็นห้องเริ่มต้น แต่ก็ได้บรรยากาศภายในห้องที่โปร่งสบาย ไม่อึดอัด อีกทั้งมี Layout หลายแบบ จึงเลือกได้ตรงไลฟ์สไตล์ หลักๆจะออกแบบพื้นที่ในห้องเป็นสัดส่วน แยกโซนพักผ่อน-Service ชัดเจน นอกจากนั้นก็จะมีให้เลือกเป็นครัวแบบปิด, พื้นที่ครัวติดระเบียง, พื้นที่นั่งเล่น-นอนอยู่บริเวณเดียวกัน, กั้นแบ่งห้องนอนเป็นสัดส่วน, มีพื้นที่ Walk-in Closet หรือประตูห้องน้ำเข้า-ออกได้ 2 ทาง

สาธารณูปโภค :

ด้วยตัวโครงการที่ถือว่ามีขนาดใหญ่จึงออกแบบพื้นที่ส่วนกลางมาขนาดใหญ่และหลากหลายเหมือนกัน มีขนาดประมาณ 6,000 ตร.ม.* โดยมี Main Facilities อยู่ตรงกลางโครงการและออกแบบเป็นแนวยาวเชื่อมชั้น 1-2 ทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องและลูกบ้านแต่ละอาคารก็มาใช้งานได้ง่าย ซึ่งฟังก์ชันส่วนกลางส่วนใหญ่ของโครงการจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น-ทำงานทั้งภายในอาคารและกลางแจ้งท่ามกลางสวนสีเขียว 3,600 ตร.ม.* ทำให้ได้บรรยากาศที่สดชื่น ใกล้ชิดธรรมชาติและน่าอยู่อาศัยภายในโครงการ

นอกจากนั้นยังมีส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยงภายในอาคาร C-D ที่นอกจากจะมีสวนสีเขียวให้น้องๆมาวิ่งเล่นแล้ว ยังน่าสนใจที่ห้อง Co-Working Space มีการเตรียมอุปกรณ์-ของเล่นให้น้องๆมาเล่นสนุก รวมถึงมีห้องอาบน้ำ-ตัดแต่งขนให้ใช้งานได้ภายในโครงการที่เราไม่เห็นฟังก์ชันนี้ในโครงการเพื่อนบ้านเลยนะ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 91,000 บาท/ตร.ม., 19 พฤศจิกายน 2568

  • ทำเล 8/10 – ติดถนนอุดมสุข อิงไปฝั่งถนนสุขุมวิท ความอุดมสมบูรณ์สูง
  • เดินทางด้วยรถ 8/10 – เชื่อถนนใหญ่ สุขุมวิท, บางนา-ตราดและศรีนครินทร์ ใกล้ทางด่วน 2 สาย มีเส้นทางลัดเลาะเยอะ
  • ไม่ใช้รถ 7.75/10 – ใกล้ BTS อุดมสุข 900 เมตร มี Shuttle Service คอยรับ-ส่ง
  • วัสดุ 8.75/10 – Fully Fitted ได้เกรดตามมาตรฐานระดับราคานี้ แต่ห้อง Pet-Friendly มีการอัพเกรดสเปควัสดุให้เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์
  • แบบ 8/10 – วางอาคารล้อมรอบพื้นที่ส่วนกลาง แบ่งแยกพื้นที่ในห้องเป็นสัดส่วน มีหลาย Layout ให้เลือก ห้องเริ่มต้นใหญ่ 27 ตร.ม.
  • สาธารณูปโภค 8/10 – ออกแบบมาขนาดใหญ่และหลากหลาย เน้นพื้นที่นั่งเล่น-ทำงานและสวนสีเขียว มีส่วนกลางสัตว์เลี้ยงด้วย น่าสนใจที่มีห้องอาบน้ำ-ตัดแต่งขนในโครงการ

  • MAIN CLASS
  • 8.04 / 10.00

ASPIRE Sukhumvit 103 ดีไหม?

โครงการ ASPIRE Sukhumvit 103  เป็นคอนโด Low Rise เลี้ยงสัตว์ได้เปิดใหม่เพียงแห่งเดียวบนทำเล เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดใกล้เมือง ซื้อของกินของใช้ง่าย ไปขึ้นรถไฟฟ้าก็สะดวก หรือเป็น Pet Parent มีสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว เพราะโครงการนี้ตั้งอยู่ติดถนนอุดมสุข ใกล้ BTS อุดมสุข 900 เมตร มี Shuttle Service คอยรับ-ส่ง ส่วนตัวห้องมีทั้ง 1-2 Bedroom จะอยู่คนเดียวหรือเป็นครอบครัวได้ อีกทั้งมีอัพเกรดสเปคในอาคาร Pet-Friendly เพื่อเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะ สำหรับพื้นที่ส่วนกลางมีขนาดใหญ่และหลากหลาย ส่วนใหญ่เน้นเป็นพื้นที่นั่งเล่น-ทำงาน พร้อมพื้นที่สีเขียวและส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยงมาให้ครบ มีงบประมาณ 2.20-3.90 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนประมาณ 10,503 – 18,619 บาท

ตัวอย่างโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ โซนสุขุมวิทตอนปลาย

Think of Living รวบรวมมาให้แล้ว!

โครงการเปิดใหม่ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม ในทำเลทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ในทุกๆเดือนย้อนหลัง ใครที่กำลังมองหาบ้านห้ามพลาด อาจจะมีโครงการในราคาและทำเลที่เพื่อนๆ ตามหาอยู่ก็เป็นได้นะ

เข้ามาชมบทความรายเดือนได้เลย คลิกที่นี่