ถึงแม้คอนโดแต่ละโครงการอาจมีเป็นร้อย เป็นพันยูนิต แต่ห้องที่ “ใช่” สำหรับเรามีเพียงห้องเดียวเท่านั้น!

ทุกคนเคยเป็นกันมั้ย? เดินดูคอนโดแล้วงงไปหมด มีตั้งหลายชั้นและหลายห้องให้เลือก แล้วเราควรเลือกยังไงดี เพราะถ้าอยู่สูงไปก็กลัวร้อน อยู่ต่ำไปก็เสียงดังอีก แถมถ้าเลือกผิด ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ ดังนั้นการเลือกชั้นและตำแหน่งห้องในคอนโด ไม่ใช่แค่เรื่องวิวหรือราคาที่เราจ่ายไหวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยและความสบายในชีวิตประจำวันของเราด้วยค่ะ

วันนี้ Think of Living จะมาช่วยทุกคนเลือกชั้นและห้องให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ที่สุดกัน โดยจะเริ่มจากแปลนคอนโดมีแบบไหน มีข้อดี-ข้อเสียยังไง, ชั้นไหนน่าอยู่, ตำแหน่งห้องไหนได้ความเป็นส่วนตัว รับแดด+ลมดี หรือได้วิวสวยๆบ้าง ก็ตามอ่านกันต่อได้เลย


สำรวจความชอบ/ไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยของตนเอง

ขอบคุณภาพจาก Vectorstock.com

สำหรับการเลือกตำแหน่งห้องก็เหมือนกับการเลือกคอนโดเลยค่ะ เพราะเราต้องกำหนดความต้องการพื้นฐานของเราก่อน เช่น ชอบความเป็นส่วนตัว, ไม่ชอบแดดร้อน เพราะอยู่ห้องทั้งวัน หรือชอบใช้ส่วนกลางเป็นประจำ เป็นต้น

หลังจากเรากำหนดความต้องการเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องจัดอันดับความต้องการของเราด้วยว่าเราให้ความสำคัญหรือเรียกง่ายๆ ว่าเทน้ำหนักไปทางไหนมากกว่ากัน เพราะห้องในคอนโดนั้นๆอาจจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการเราได้ 100% เช่น ห้องที่ไม่ติดห้องเพื่อนบ้านเลย ได้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่หันรับแดดร้อน ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเทน้ำหนักไปเรื่องความเป็นส่วนตัวหรือความร้อนภายในห้องมากกว่ากันค่ะ ซึ่งหากเราได้จัดลำดับความต้องการไว้ชัดเจนตั้งแต่แรกๆ ก็จะช่วยให้เราเลือกห้องคอนโดได้ง่ายขึ้นนั่นเอง


แปลนคอนโด (Floor Plan) มีแบบไหนบ้าง?

สำหรับแปลนหรือผังพื้น (Floor Plan) ของคอนโดมิเนียมก็จะมีอยู่หลากหลายรูปแบบเลยนะ แม้แต่แปลนคอนโดรูปสามเหลี่ยมก็ยังเคยเจอเลยค่ะ เพราะขึ้นอยู่กับลักษณะที่ดิน, ข้อกำหนดด้านความสูง, ระยะร่นอาคาร (Setback) รวมถึงการออกแบบหลบไม่ให้โดนอาคารด้านข้างบล็อกวิวด้วยค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะมีหลักการวางตัวอาคารที่ใกล้เคียงกัน โดยเราจะขอยกตัวอย่างแปลนคอนโดที่นิยมและเจอได้บ่อยๆทั้งหมด 5 แบบ มาสรุปข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแปลนกันเลยค่ะ

แปลนรูปตัว I

แปลนคอนโดรูปตัว I นี้เป็นแปลนที่พบได้บ่อยมากๆ มีลักษณะแปลนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ ส่วนตำแหน่งโถงลิฟต์มักจะอยู่ตรงกลางและแบ่งห้องพักออกเป็น 2 ฝั่ง

โดยตำแหน่งห้องที่น่าสนใจคือห้องมุมอาคาร เพราะได้ความเป็นส่วนตัวติดเพื่อนบ้านเพียงด้านเดียว รวมถึงส่วนใหญ่จะมีช่องหน้าต่างทั้ง 2 ฝั่งห้อง จึงเปิดรับแสง+วิวทั้ง 2 ด้านนั่นเอง (แต่มักจะเป็นห้องขนาดใหญ่สุดของอาคารหรือตั้งราคาขายแพงกว่าห้องตำแหน่งอื่นๆค่ะ) นอกจากนั้นห้องที่ติดบันไดหนีไฟก็เป็นอีกตัวเลือกของคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว ส่วนห้องที่อยู่ในตำแหน่งที่โดนบล็อกวิวหรือใกล้ห้องขยะมักจะเป็นห้องราคาถูกสุด อย่างห้อง Studio หรือ 1 Bedroom ที่เป็นห้องขนาดเริ่มต้นของโครงการ

  • ข้อดี : ห้องทั้ง 2 ฝั่ง หันออกด้านนอกหมด ตัวอาคารไม่บล็อกวิวกันเอง / รับแสงธรรมชาติและระบายอากาศได้ดี
  • ข้อเสีย : มีตำแหน่งห้องน่าสนใจให้เลือกน้อย เพราะส่วนใหญ่จะเป็นห้องที่ติดห้องอื่นทั้ง 2 ด้าน / ห้องที่อยู่ช่วงปลายอาคาร จะอยู่ไกลลิฟต์มากกว่า

แปลนรูปตัว L

ลักษณะของแปลนคอนโดตัว L แบบนี้ เหมือนการเอาแปลนตัว I มาวางตั้งฉากกัน ทำให้ตรงมุมตั้งฉากนี้มักจะวางเป็นโถงลิฟต์ แล้วแบ่งห้องพักออกเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งปลายตัว L ก็จะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับการออกแบบของโครงการนั้นๆเลยค่ะ รวมถึงยังแบ่งห้องเป็นฝั่งด้านใน-ด้านนอกด้วย ซึ่งห้องฝั่งด้านในมักจะได้วิวพื้นที่ส่วนกลาง ดังนั้นห้องฝั่งด้านในนี้มักจะมีราคาสูงกว่าห้องฝั่งด้านนอกนั่นเอง เพราะเหมือนการันตีว่าจะได้วิวส่วนกลางสวยๆแบบนี้ไปตลอด แตกต่างจากห้องที่หันไปฝั่งด้านนอกที่ตอนแรกได้วิวเปิดโล่ง แต่ในอนาคตอาจมีอาคารมาบดบังและห้องโดนบล็อกวิวได้ค่ะ

กรณีที่โถงลิฟต์ไม่ได้วางอยู่ตรงกลางและบริเวณมุมของอาคารวางเป็นห้องพักแทน ก็จะมีห้องที่อยู่บริเวณมุมฉากของอาคารทั้ง 2 ห้องหันชนกันพอดี ทำให้มองเห็นกันได้ ไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไหร่

ส่วนตำแหน่งห้องที่น่าสนใจจะมีให้เลือกมากขึ้นกว่าแปลนตัว I นะ เพราะนอกจากตำแหน่งห้องตรงปลายขาตัว L ทั้ง 4 มุมแล้ว ยังมีตำแหน่งห้องมุมฉากอาคาร บริเวณด้านซ้ายบนของภาพเพิ่มขึ้นมาให้เลือกด้วยค่ะ

  • ข้อดี : ห้องที่หันเข้ามาฝั่งด้านใน มักได้วิวพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนห้องอีกฝั่งก็ได้วิวด้านนอก
  • ข้อเสีย : ตัวอาคารอาจบล็อกวิวกันเอง โดยเฉพาะห้องที่อยู่ติดบริเวณมุมฉากของอาคาร มีพื้นที่ติดนอกอาคารน้อย จึงอาจจะหันชนห้องอื่นพอดี / ห้องที่อยู่ช่วงปลายสุดของอาคาร มีระยะเดินมาลิฟต์ที่ไกลกว่า

แปลนรูปตัว U หรือ C

แปลนรูปตัว U หรือ C นี้นิยมออกแบบในคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ค่ะ เพราะมีพื้นที่ว่างตรงกลางอาคารทำเป็นพื้นที่สวนสีเขียวหรือจัดชั้นใดชั้นนึงยื่นออกมาตรง Court เป็นพื้นที่ส่วนกลางอย่างสระว่ายน้ำ ก็ทำให้ห้องฝั่งด้านในบนชั้นสูงๆ มองลงมาได้วิวพื้นที่ส่วนกลางสวยๆนั่นเอง 

สำหรับวางตำแหน่งโถงลิฟต์ของแปลนรูปตัว U หรือ C มักจะวางอิงไปฝั่งใดฝั่งนึงของอาคารมากกว่า จึงทําให้ห้องที่อยู่คนละฝั่งกับโถงลิฟต์จะเดินไกลหน่อย ส่วนห้องที่อยู่ฝั่งเดียวกับโถงลิฟต์จะเดินมาใช้งานได้ใกล้กว่า มีคนเดินผ่านหน้าห้องน้อยกว่าอีกฝั่งด้วย จึงได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า สำหรับห้องที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางอาคารก็จะมีคนเดินผ่านหน้าห้องมากที่สุด แต่ก็แลกมากับการใช้ลิฟต์ได้สะดวกกว่าห้องที่อยู่คนละฝั่งกับโถงลิฟต์นั่นเอง

หลักการวางแปลนของตัว U หรือ C ก็จะเหมือนนำแปลนตัว L มาต่อกันเลยนะ จึงเน้นวางห้องขนาดใหญ่เป็นห้องมุมอาคาร ส่วนห้องที่อยู่ติดบริเวณมุมฉากของอาคาร มีพื้นที่ติดนอกอาคารน้อย จึงอาจจะหันชนห้องอื่นพอดี และห้องอื่นๆที่อยู่ในทิศที่แดดร้อนอย่างทิศตะวันตกก็จะวางห้องขนาดเริ่มต้นอย่างห้อง Studio หรือ 1 Bedroom นั่นเอง

  • ข้อดี : ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางอย่างสวนสีเขียวหรือสระว่ายน้ำบริเวณ Court ตรงกลาง เพื่อเป็นวิวให้ห้องที่หันเข้ามาฝั่งด้านใน ส่วนห้องอีกฝั่งก็ได้วิวด้านนอก / มีตำแหน่งห้องหันไปหลายทิศ จึงเลือกทิศห้องที่ชอบได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องที่ไม่โดนแดดแรงหรือได้วิวเปิดโล่ง / โซนห้องฝั่งเดียวกับลิฟต์ได้ความเป็นส่วนตัว
  • ข้อเสีย : ห้องฝั่งด้านใน เปิดรับวิวได้จำกัดหรือความเป็นส่วนตัวน้อยกว่า เพราะมองเห็นห้องฝั่งตรงข้าม / ห้องส่วนใหญ่จะอยู่ไกลจากลิฟต์ / ห้องที่อยู่มุมฉากของอาคาร อาจหันชนห้องอื่น / บริเวณ Court ตรงกลาง อาจเป็นพื้นที่อับลมและมืดทึบได้ หากมีการออกแบบเรื่อง Ventilation การระบายลมและเปิดรับแสงแดดไม่ดีพอ

แปลนรูปตัว H

 

สำหรับแปลนรูปแบบนี้มักจะเห็นในโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่มีจํานวนยูนิตเยอะ มีลักษณะเหมือนเอาแปลนรูปตัว U หรือ C มาประกบกันในฝั่งตรงข้าม โดยแต่ละชั้นก็จะมีจํานวนห้องพักค่อนข้างหนาแน่น ส่วนขาของตัว H จะมีความสั้น-ยาว ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละโครงการเลย สำหรับตำแหน่งโถงลิฟต์มักจะอยู่บริเวณตรงกลางอาคาร แต่ค่อนมาทางฝั่งใดฝั่งนึงมากกว่า จึงมีห้องที่เดินไปใช้ลิฟต์ได้ใกล้และไกลค่ะ

เรื่องการเปิดรับวิว ด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่มักจัดอยู่ตรง Court แต่ขึ้นอยู่กับการออกแบบว่าจะวางพื้นที่ส่วนกลางอยู่เพียง Court เดียวหรือทั้ง 2 Court เลย ก็ทำให้ห้องที่หันเข้ามาด้านในจะได้วิวส่วนกลาง แต่ก็จะมองเห็นห้องฝั่งตรงข้ามด้วย ซึ่งมีเทคนิคออกแบบให้ขาของตัว H สั้น-ยาว ไม่เท่ากัน (เหมือนภาพแปลนด้านบน) ก็ทำให้ห้องที่หันเข้ามาด้านในบางส่วนได้วิวเปิดโล่งนั่นเอง รวมถึงโซนห้องที่อยู่ปลายขาของตัว H ที่สั้นกว่า ก็จะเป็นโซนห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัว เพราะมีคนเดินผ่านหน้าห้องน้อยกว่าด้วยค่ะ ส่วนห้องที่อยู่ตรงกลางของตัว H และห้องที่อยู่หันไปด้านนอกอาคาร จะได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่งกว่าห้องฝั่งด้านใน หากไม่มีอาคารข้างเคียงมาบังวิวค่ะ

  • ข้อดี : มีพื้นที่ Court 2 จุดตรงกลาง ช่วยระบายอากาศและเปิดรับแสงได้ดี / แบ่งโซนห้องฝั่งต่างๆได้ชัดเจน เช่น ฝั่งวิวเมือง / ฝั่งสวน / ฝั่งเปิดโล่ง
  • ข้อเสีย : มีความหนาแน่นต่อชั้นสูง / ตัวอาคารอาจบล็อกวิวกันเอง / ห้องที่อยู่ตรงกลางตัว H อาจได้แสงและลมที่น้อยกว่าตำแหน่งอื่นๆ รวมถึงมีคนเดินผ่านหน้าห้องเยอะ / ห้องฝั่งด้านในเปิดรับวิวได้จำกัดและอาจจะรู้สึกไม่ค่อยส่วนตัว เพราะมองเห็นห้องฝั่งตรงข้าม

แปลนรูปตัว O

แปลนคอนโดมิเนียมรูปแบบนี้มักจะเห็นในโครงการระดับ Luxury ขึ้นไปนะคะ เพราะการจัดผังแบบนี้จะได้เรื่องความเป็นส่วนตัวสูงเมื่อเทียบกับแปลนรูปแบบอื่นก่อนหน้านี้ โดยจะมีจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่เยอะ (ยิ่งจำนวนน้อยกว่า 10 ยูนิต ได้ความเป็นส่วนตัวสูง) และทางเดินแบบ Single load Corridor หรือทางเดินที่ไม่มีห้องเพื่อนบ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวดี

แต่ข้อจำกัดของแปลนแบบนี้ก็คือเรื่องการเปิดรับลมและแสงธรรมชาติเข้ามาภายในอาคาร หากไม่มีการเว้นพื้นที่บางส่วนไว้ก็จะทำให้บริเวณโถงทางเดินมืด ต้องพึ่งแสงสว่างจากหลอดไฟตรงโถงทางเดินทั้งในตอนกลางวัน-กลางคืนและส่งผลกระทบต่อค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายสูงขึ้น แต่ก็มีเทคนิคออกแบบเป็นพื้นที่ Court ตรงกลางอาคาร เพื่อดึงแสงธรรมชาติและลมเข้ามาภายในอาคารอยู่เหมือนกัน

นอกจากนั้นแปลนรูปตัว O ก็เป็นที่นิยมในการออกแบบคอนโดมิเนียม Low Rise เหมือนกันค่ะ แต่จะเป็นคอนโดที่มียูนิตเยอะ โดยออกแบบเหมือนเอาแปลนตัว U ประกบกัน ล้อมรอบเกิดพื้นที่ Court ตรงกลาง ส่วน Court นี้ก็มักจะออกแบบเป็นพื้นที่ส่วนกลางอย่างสวนสีเขียวและสระว่ายน้ำ ทำให้ห้องที่หันเข้ามาด้านในครึ่งนึงได้วิวพื้นที่ส่วนกลางที่สวยๆเลย

  • ข้อดี :  สร้างบรรยากาศส่วนตัวและปิดล้อมจากภายนอกได้ดี / ห้องที่อยู่ด้านในได้วิว Court ที่มักจะเป็นส่วนกลางสวยๆและเงียบสงบดี / มีตำแหน่งห้องทุกทิศให้เลือก
  • ข้อเสีย : ข้อจำกัดในการเปิดรับลมและแสงสว่างตรงโถงทางเดินหรือ Court ตรงกลางอาคาร อาจส่งผลต่อค่าส่วนกลางได้


เลือกตำแหน่งห้องชั้นไหนดี ?

ก่อนที่เราจะเข้าไปดูว่าตำแหน่งห้องตรงไหนดี การเลือกอยู่คอนโดมิเนียม ถ้าคุณไม่ได้เลือกอยู่ชั้น 1 หรือชั้นล่างๆ คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของวิว หรือมุมมองจากห้องพักอาศัย ถือเป็นเรื่องที่มีผลในการตัดสินใจซื้อไม่น้อย คงไม่มีใครอยากได้วิวปิดหรือมีอะไรมาบังวิว อยากได้วิวเมือง วิวเปิดสวยๆ และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้วิวสวยๆนั้นคงอยู่ตลอดไปเช่นกัน ซึ่งเรื่องของวิวนั้น คำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว อาจเปลี่ยนไปเป็นยิ่งสูงยิ่งแพง อันนี้ไม่เกินจริง เพราะห้องที่อยู่สูงขึ้นไปนั้นก็จะมีราคาบวกเพิ่มเข้าไปตามลำดับชั้น จึงไม่แปลกที่เรามักจะเห็นห้องที่แพงที่สุด เช่น ห้อง Penthouse อยู่ที่ชั้นสูงสุดของโครงการ แต่ก็ใช่ว่าชั้นอื่นๆจะไม่น่าอยู่นะ เพราะแต่ละชั้นในคอนโดแม้จะได้วิวที่แตกต่างกัน แต่ก็มีข้อดีในเรื่องการใช้งานที่ต่างกันไป บางคนชอบใช้ส่วนกลาง วิวไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือก การเลือกชั้นที่มีส่วนกลางอยู่ใกล้ห้องถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในเรื่องการไปใช้งาน ถ้าอยากชมวิวก็ขึ้นไปชั้นส่วนกลางชั้นสูงๆ หรือชั้นดาดฟ้าที่ทางโครงการจัดพื้นที่ให้ชมวิวได้เช่นกัน ฉะนั้นการเลือกชั้นให้เหมาะกับตนเองที่สุดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เดี๋ยวเราจะเริ่มจากชั้น 1 ไปจนถึงชั้นบนสุดกันว่าแต่ละชั้นมีข้อดี ข้อเสีย และเหมาะกับใคร

ชั้น 1

โดยปกติแล้วการออกแบบจัดผังชั้นพักอาศัยในโครงการคอนโดมิเนียมสามารถออกแบบให้มีชั้นพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 1 เป็นต้นไปได้ โดยโครงการจะจัดพื้นที่จอดรถไว้โดยรอบพื้นที่โครงการ หรือทำเป็นอาคารจอดรถแยกส่วนไว้ การจัดห้องไว้ที่ชั้น 1 ของอาคาร มีข้อดีหลายอย่างเช่นกัน สำหรับคนที่เลือกพักอาศัยในชั้น 1 อย่างแรกเลยคือไม่ต้องใช้บันได ไม่ต้องใช้ลิฟต์ เมื่อเดินเข้าอาคารมาก็เดินต่อไปที่ห้องพักอาศัยได้เลย จึงเหมาะกับบุคคลกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นพิเศษหากเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถออกจากอาคารได้รวดเร็ว อีกอย่างที่น่าสนใจคือราคาของห้องพักจะมีราคาไม่สูงเหมือนห้องในชั้นบนๆ ​

แต่ก็มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ ความเป็นส่วนตัวภายในห้อง เพราะเราจะได้บรรยากาศและวิวภายนอกเหมือนการอยู่บ้าน ด้วยการออกแบบพื้นที่รอบนอกของชั้น 1 ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้คนภายนอกสามารถมองเข้ามาภายในห้องพักเราได้ แต่เราก็สามารถปลูกต้นไม้หรือทำระแนงพรางสายตาตรงระเบียง เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้เหมือนกัน รวมถึงถ้าบริเวณด้านหน้าห้องเราเป็นสวนสีเขียวของโครงการที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้งานบ่อยๆ ก็ทำให้ภายในห้องของเราได้วิวสีเขียวสวยๆนั่นเอง แต่ก็มีเรื่องของความชื้นจากสวนส่วนกลาง, กลิ่นควัน-เสียงดังจากรถยนต์ที่สัญจรผ่านไป-มา, ฝนตกน้ำท่วมตรงถนน รวมถึงเรื่องแมลงและยุงต่างๆที่ไม่ควรมองข้ามด้วยนะคะ 

ชั้นล่างสุดของชั้นพักอาศัย

หลายๆโครงการมักจะออกแบบชั้น 1 หรือชั้นล่างๆเป็นพื้นที่จอดรถ ทำให้ชั้นพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้นสูงกว่าชั้น 1 นั่นเอง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมแบบ High Rise จะออกแบบชั้นล่างๆอย่างเช่น ชั้น 1-8 เป็นชั้นของพื้นที่จอดรถ และมีชั้นพักอาศัยเริ่มที่ชั้น 9 ที่เราจะนับชั้น 9 นี้เป็นชั้นล่างสุดของชั้นพักอาศัยนั่นเอง ซึ่งจะเป็นชั้นที่ราคาไม่สูงค่ะ

นอกจากนั้นการออกแบบให้ชั้นล่างสุดของชั้นพักอาศัยมีความสูงจากระดับถนน ช่วยป้องกันเรื่องเสียงดังและกลิ่นควันจากรถยนต์แล้ว ยังเป็นการออกแบบเพื่อให้พ้นระยะความสูงของอาคารโดยรอบ ไม่โดนบล็อกวิวด้วยนั่นเอง อย่างภาพด้านบนก็เป็นตัวอย่างโครงการที่ออกแบบให้ชั้นล่างของชั้นพักอาศัยพ้นระยะรถไฟฟ้า BTS ค่ะ

ชั้นพักอาศัยที่มีพื้นที่ส่วนกลาง

มาถึงชั้นที่ส่วนกลาง ชั้นนี้เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจในตัวเองไม่น้อย ยิ่งถ้าโครงการไหนจัดพื้นที่ส่วนกลางได้สวยน่าใช้งาน ก็จะยิ่งทำให้ชั้นนี้ถูกจับจองไปก่อนห้องในชั้นอื่นๆ ด้วยวิธีการจัดผังในชั้นให้มีทั้งห้องพักอาศัยและส่วนกลางอยู่ในชั้นเดียวกันสิ่งแรกที่ได้มาคือคุณจะมาใช้ส่วนกลางได้ง่ายกว่าใครๆในอาคาร และได้วิวส่วนกลางแบบใกล้ชิดกว่าชั้นอื่นๆ แต่ก็แลกกับการที่จะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง จากการที่คนมาใช้ส่วนกลาง อาจเสียงดัง และมองเข้ามาเห็นห้องพักอาศัยด้านในของเราได้เช่นกัน จากจุดเด่นของชั้นนี้จึงไม่แปลกที่ชั้นพักอาศัยที่มีส่วนกลางจะถูกปรับราคาให้สูงกว่าชั้นพักอาศัยในชั้นปกติทั่วไป

แต่ก็มีข้อระมัดระวังโครงการจะต้องแบ่งโซนพื้นที่ส่วนกลางกับส่วนพักอาศัยให้ดี เแยกประตูทางเข้า-ออกเพื่อใช้งานในแต่ละส่วนให้ชัดเจน คนมาใช้ส่วนกลางจากชั้นอื่นๆ ต้องไม่สามารถเข้าไปพื้นที่ส่วนพักอาศัยในชั้นนี้ได้ โดยส่วนมากจะมีประตูแบ่งโซนไว้ให้​ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวให้ผู้ที่พักอาศัยในชั้นนี้ นอกจากนั้นพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบเป็นห้องเพดานสูงเพื่อได้ความโปร่งโล่ง เราก็มักจะเห็นทางโครงการออกแบบห้องพักในชั้นนี้เป็นห้องฝ้าเพดานสูงด้วยนั่นเอง

Image 1/3
ประตูกั้นระหว่างโถงลิฟต์กับโซนห้องพัก

ประตูกั้นระหว่างโถงลิฟต์กับโซนห้องพัก

ชั้น 13 หรือ 12A

ถือเป็นอีกชั้นที่คนไม่ค่อยนิยมเลือกซื้อกันเท่าไหร่นัก เพราะหลายๆคนก็ยังมีความเชื่อเรื่องตัวเลขต่างๆ โดยเฉพาะเลข 13 ที่มองว่าเป็นเลขไม่มงคล ทำให้เราจะเห็นหลายๆโครงการใช้เลข 12A เป็นเลขชั้นแทน รวมไปถึงในเรื่องราคาขายที่บางโครงการตั้งราคาขายของชั้นนี้ไม่ต่างจากชั้น 12 หรือไม่ก็ตั้งราคาชั้น 14 ที่โดดสูงขึ้นจากชั้น 13 หรือ 12A ทำให้ถือเป็นอีกชั้นที่เราอาจจะเจอห้องราคาดีๆได้ค่ะ แต่พอมีเรื่องความเชื่อเรื่องตัวเลขมาเกี่ยวข้องก็ทำให้อาจจะยากนิดนึงเวลาปล่อยเช่าหรือขายต่อให้คนอื่นที่ถือเรื่องพวกนี้

ชั้นบนสุดของชั้นพักอาศัย

สำหรับชั้นบนสุดของชั้นพักอาศัย ก่อนจะไปดาดฟ้าของอาคาร จะเป็นชั้นที่ได้วิวมุมสูงสุดของคอนโดมิเนียมนั้นๆเลย แต่ก็เป็นชั้นได้รับความร้อนเข้ามาจากทั้งระเบียงห้องหรือผนังห้องแล้ว ยังมีความร้อนจากฝ้าเพดานห้องด้วยนั่นเอง ทำให้เป็นชั้นที่ได้รับความร้อนมากกว่าชั้นอื่นๆ อีกทั้งยังมีเรื่องน้ำฝนที่อาจเกิดการรั่วซึมลงมาภายในห้องเราได้ ดังนั้นเราจะเห็นหลายๆโครงการมักจะทำเป็น Rooftop Garden ที่นอกจากจะมีฟังก์ชันส่วนกลางให้ลูกบ้านมาใช้งานได้แล้ว ยังช่วยป้องกันเรื่องความร้อนด้วยนั่นเอง นี่ก็ถือเป็นอีกเทคนิคนึงในการออกแบบคอนโดค่ะ

ชั้นด้านล่างของพื้นที่ส่วนกลาง

เรามองว่าชั้นพักอาศัยที่อยู่ด้านล่างของพื้นที่ส่วนกลางก็เหมือนกับชั้นพักอาศัยที่มีพื้นที่ส่วนกลางเลยนะ เพราะว่าเราจะได้ยินเสียงดังจากการใช้งานสระว่ายน้ำหรือ Fitness ได้เกือบตลอดเวลาผ่านฝ้าเพดานห้องนั่นเอง รวมถึงหากเป็นห้องที่อยู่ใต้ห้องเครื่องงานระบบต่างๆอีก ก็จะได้ยินเสียงดังรบกวนการอยู่อาศัยเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องน้ำรั่วซึมต่างๆจากสระน้ำหรือสวนสีเขียวด้วยนะคะ ทำให้หลายๆโครงการจึงออกแบบชั้นด้านล่างของพื้นที่ส่วนกลางเป็นพื้นที่จอดรถนั่นเอง แต่คอนโด High Rise หลายๆโครงการก็ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางอยู่ชั้นดาดฟ้านะ ทำให้ห้องที่อยู่ด้านล่างก็มีจุดควรคำนึงถึงเหมือนที่เราได้เล่าไปเมื่อกี้นี้ใน Part ของชั้นบนสุดของชั้นพักอาศัย


เลือกตำแหน่งห้องในคอนโดยังไง ?

เมื่อสำรวจตัวเองและรู้ข้อจำกัดเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงการเลือกตำแหน่งห้องให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเราแล้วนะคะ ซึ่งเราจะขอเขียนวิเคราะห์โดยอิงไลฟ์สไตล์ความชอบของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก แบ่งเป็นความเป็นส่วนตัว, การเปิดรับแสง-ลมและวิวคอนโดนะคะ

ตำแหน่งห้องไหน เสียงไม่ดัง ได้ความเป็นส่วนตัว?

ใครชอบความเป็นส่วนตัวสูงหรือชาว Introvert ทั้งหลายที่อยากได้บรรยากาศห้องที่เงียบสงบ แบบเวลาพักผ่อนอยู่ในห้องก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงดังหรือมีปัญหากับเพื่อนข้างห้อง เราได้ลิสต์ตำแหน่งห้องที่เน้นความเป็นส่วนตัวสูงในทุกแปลนมาให้แล้วนะคะ

  • สีแดง – ห้องมุมอาคารหรืออยู่สุดโถงทางเดิน

เพราะอยู่ติดกับเพื่อนบ้านด้านเดียวและบางโครงการจะมีช่องเปิดด้านข้างห้องด้วย ทำให้เป็นห้องที่ได้วิวทั้ง 2 ฝั่ง ตำแหน่งห้องนี้จึงถือว่าเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดเลยนะ ส่วนใหญ่จึงเป็นห้องใหญ่สุดของโครงการและมีราคาสูงกว่าห้องตำแหน่งอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบห้อง+ขนาดใหญ่เท่ากัน ซึ่งพอเป็นห้องใหญ่และราคาสูง จึงอาจจะไม่ใช่แบบห้องที่เราชอบ หรืองบประมาณไม่ถึงก็ได้ งั้นเราลองดูตำแหน่งห้องอื่นๆต่อเลยค่ะ

  • สีน้ำเงิน – ห้องที่อยู่ติดบันไดหนีไฟ

เป็นอีกตำแหน่งที่อยู่ติดกับห้องเพื่อนบ้านฝั่งเดียว ทำให้มีเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านน้อยลงไป 1 ด้าน และถึงแม้จะได้ช่องเปิดเพียงฝั่งเดียวไม่เท่ากับห้องมุมอาคาร แต่จะมีแบบห้องให้เลือกได้หลากหลายมากกว่าทั้งห้องเล็ก กลางหรือใหญ่ ขึ้นอยู่กับการออกแบบของทางโครงการเลยค่ะ นอกจากนั้นยังสะดวกเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ก็ทำให้หนีออกนอกอาคารได้ง่ายค่ะ

ข้อควรคำนึง : กรณีของห้องติดบันไดหนีไฟในคอนโด Low Rise อาจถูกใช้ในการขึ้น-ลงอาคารแทนลิฟต์ได้ ทำให้ตำแหน่งห้องนี้ในคอนโด Low Rise อาจไม่ได้ความเป็นส่วนตัวเท่าห้องติดบันไดหนีไฟในคอนโด High Rise

  • สีเหลือง – ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับบันไดหนีไฟหรือพื้นที่เปิด

ส่วนใหญ่มักจะเป็นห้องขนาดเล็ก เหมาะกับคนที่มีงบประมาณจำกัด แต่ยังอยากได้ความเป็นส่วนตัว เพราะถึงแม้จะเป็นตำแหน่งที่ติดเพื่อนบ้านทั้ง 2 ฝั่ง แต่พอเป็นห้องที่อยู่ตรงข้ามกับบันไดหนีไฟหรือพื้นที่เปิดอย่าง Pocket Garden สวนสีเขียวในแต่ละชั้น ก็ทำให้ตำแหน่งห้องนี้เหมือนเป็นห้องที่ได้โถงทางเดินแบบ Single load Corridor  ไม่ต้องเปิดประตูออกไปเจอกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามนั่นเอง

นอกจากเรื่องเลือกตำแหน่งห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัวมากสุดในแต่ละชั้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆที่สามารถดูควบคู่กันไปด้วยได้ ไม่ว่าจะเป็น

จำนวนยูนิตทั้งโครงการ /จำนวนยูนิตต่อชั้น/ความหนาแน่นลิฟต์

การเลือกคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนยูนิตไม่เยอะ ก็ทำให้ได้บรรยากาศภายในโครงการที่ไม่พลุกพล่าน เพราะจะส่งผลต่อความหนาแน่นในการใช้ลิฟต์ จึงทำให้ต้องใช้เวลารอลิฟต์นานมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคอนโด Low Rise จะมีจำนวนยูนิตที่น้อยกว่าคอนโด High Rise ค่ะ มีจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่ควรเกิน 20 ยูนิต นอกจากนั้นสำหรับคอนโดระดับ Luxury ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ก็จะมีจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่เกิน 10 ยูนิต

  • ความหนาแน่นลิฟต์ของคอนโด Low Rise ควรไม่เกิน 70 (ห้อง) : 1 (ลิฟต์ 1 ตัว)
  • ความหนาแน่นลิฟต์ของคอนโด High Rise ควรอยู่ที่ 100 (ห้อง) : 1 (ลิฟต์ 1 ตัว)

ระบบรักษาความปลอดภัย

สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยที่นอกเหนือจากความรู้สึกที่อยู่อาศัยได้สบายใจแล้ว ยังมีเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วย อย่างโครงการที่มีการสแกนบัตรหรือหน้า เพื่อเข้า-ออกตั้งแต่ส่วน Lobby โครงการเลย ก็จะทำให้บริเวณ Lobby มีเพียงลูกบ้านเท่านั้น แต่หากออกแบบเป็น Lobby ที่เปิดให้คนภายนอกไม่ว่าจะเป็นแขกหรือเพื่อนของลูกบ้านเข้ามาใช้งานและนั่งคอยตรง Lobby นี้ได้โดยไม่ต้องการมีการสแกนบัตรหรือหน้า ก็จะทำให้ส่วน Lobby จะค่อนข้างคึกคักมากกว่าค่ะ ดังนั้นเวลาไปเยี่ยมชมโครงการก็สามารถสอบถามโครงการได้ว่าอนุญาตให้บุคคลภายนอกเจ้ามาภายในโครงการได้ถึงบริเวณไหนนะคะ

ถนนใหญ่ / ทางด่วน / รถไฟฟ้า

นอกจากจะต้องคำนึงความเป็นส่วนตัวภายในโครงการแล้ว ยังมีเรื่องที่ตั้งคอนโดอยู่ติดถนนใหญ่ / ทางด่วน / รถไฟฟ้าด้วย ถึงแม้จะได้ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยและได้วิวเปิดโล่งในระยะใกล้ๆ แต่แน่นอนว่าจะมีเรื่องฝุ่นควันหรือเสียงดังรบกวนการอยู่อาศัยได้ โดยเฉพาะห้องที่หันไปทางถนนใหญ่ / ทางด่วน / รถไฟฟ้า นั่นเอง แต่ก็มีวิธีแก้ไขอย่างเช่น การติดตั้งผ้าม่านหรือประตูกระจก 2 ชั้น, เปลี่ยนเป็นกระจกที่ช่วยป้องกันเสียง  หรือการซีลช่องว่างของขอบประตู-หน้าต่าง เป็นต้น

พื้นที่ส่วนกลาง

การออกแบบพื้นที่ชั้นใดชั้นนึงเป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดหรือที่เรียกว่าพื้นที่ส่วนกลางแบบยกชั้น จะทำให้โซนชั้นพักอาศัยจะได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าชั้นพักอาศัยที่มีพื้นที่ส่วนกลางบางส่วนอยู่ชั้นเดียวกัน เพราะถ้าห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางอยู่ชั้นเดียวกันก็แน่นอนว่าจะมีลูกบ้านคนอื่นๆขึ้น-ลงมาใช้งานส่วนกลางในชั้นนี้ ทำให้ลูกบ้านที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยก็ไม่ควรเลือกซื้อห้องในชั้นนี้ค่ะ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว หากคอนโดที่ออกแบบชั้นพักอาศัยที่มีพื้นที่ส่วนกลางอยู่ด้วย ก็จะวางตำแหน่งพื้นที่ส่วนกลางติดกับโถงลิฟต์ ลูกบ้านคนอื่นๆจึงไม่ต้องเดินผ่านหน้าห้องพักในชั้นนี้ รวมถึงอาจมีการกั้นประตูแบ่งโซนห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางบริเวณโถงลิฟต์เลยนั่นเอง

นอกจากนั้นแม้แต่ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในส่วนกลางแต่ละฟังก์ชันก็มีผลในเรื่องความเป็นส่วนตัวเวลาใช้งานส่วนกลางด้วยเหมือนกัน ยิ่งมีพื้นที่ภายในห้องกว้าง เวลามีลูกบ้านมาใช้งานพร้อมๆกันก็จะไม่รู้สึกอัดอึดเท่ากับพื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดเล็กค่ะ

การวางตำแหน่งห้อง

ส่วนใหญ่ทางโครงการมักจะออกแบบตำแหน่งห้องโดยการวางห้องแบบ Flip แล้วเรียงต่อกันเป็นคู่ๆไป (กรอบเส้นประสีน้ำเงิน) แต่เราก็เห็นในบางโครงการเหมือนกันที่ออกแบบโดยการเรียงห้องต่อกันไป (กรอบเส้นประสีแดง) ทำให้ฟังก์ชันที่ติดกับห้องอื่นจะขึ้นอยู่กับการออกแบบฟังก์ชันของแต่ละแบบห้องเลย อย่างภาพด้านบนจะเห็นพื้นที่นั่งเล่นอยู่ติดกับห้องน้ำอีกห้อง อย่างนี้ก็ทำให้เวลานั่งเล่นอยู่ เราก็อาจจะได้ยินเสียงกดน้ำหรืออาบน้ำของห้องข้างๆได้ ส่วนห้องนอนจะอยู่ติดกับห้องครัวของห้องเพื่อนบ้าน ก็ทำให้เวลาอยู่ที่ห้องนอนก็อาจจะได้ยินเสียงดังจากการใช้งานและความร้อนจากการทำอาหาร แต่หากเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ได้ทำครัวบ่อยๆ โซนห้องนอนของเราก็แทบไม่ได้ผลกระทบในส่วนนี้เลยนะ ดังนั้นเรื่องการดูฟังก์ชันในห้องว่าติดกับฟังก์ชันส่วนไหนของเพื่อนบ้านก็เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้ามค่ะ

โถงทางเดินภายในคอนโด

การออกแบบโถงทางเดินของอาคารจะมีทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Single load Corridor มีห้องพักอาศัยอยู่ฝั่งเดียวของอาคาร ไม่มีห้องอยู่ฝั่งตรงข้าม และ Double load Corridor ที่จะมีห้องอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องเรานั่นเอง ซึ่งโถงทางเดินแบบ Single load Corridor จะช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ดี เพราะไม่มีห้องอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้เวลาเปิดประตูมาก็ไม่ต้องเจอกับเพื่อนบ้านตรงๆ อีกทั้งยังไม่มีเรื่องเสียงดังจากห้องตรงข้ามด้วย ซึ่งพื้นที่ฝั่งตรงข้ามห้องเราก็จะออกแบบเป็นกำแพงทึบธรรมดาเลยหรือทำเป็นโถงทางเดินติดกระจก เปิดรับวิวภายนอกแทนค่ะ

 

ขอบอกเลยว่าห้องที่ได้โถงทางเดินแบบ Single load Corridor นั้นจะไม่ค่อยพบในคอนโดทั่วไปนัก เนื่องจากการออกแบบมีห้องพักทั้ง 2 ฝั่งแบบโถงทางเดิน Double load Corridor ทำให้มีจำนวนห้องขายที่มากกว่านั่นเอง (หากพบในคอนโดทั่วไปมักเกิดจากข้อจำกัดในการออกแบบอาคาร เช่น ลักษณะของแปลงที่ดินเล็กจึงต้องออกแบบเป็น Single load Corridor หรือคอนโด High Rise ที่ติดระยะถอยร่นอาคารในชั้นสูงๆ ทำให้ต้องเหลือห้องแค่ฝั่งเดียว) ดังนั้นหากทาง Developer มองในเรื่องตัวเลข ความคุ้มค่าและแง่การขาย การออกแบบห้องพักทั้ง 2 ฝั่งอาคารก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าห้องที่มีอยู่ฝั่งเดียว ทำให้เรามักจะพบห้องที่ได้โถงทางเดินแบบ Single load Corridor ในคอนโดหรูซะส่วนใหญ่และชูจุดขายในเรื่องความเป็นส่วนตัว ความพิเศษและพรีเมียมที่คอนโดระดับอื่นไม่มีนั่นเอง

นอกจากนั้นโถงทางเดินแบบ Double load Corridor ที่มีห้องพักอยู่ 2 ฝั่งก็มีเทคนิคในการออกแบบอย่างประตูห้องพักทั้ง 2 ฝั่งไม่ตรงกัน เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวด้วยนะ ทำให้เวลาเปิดประตูเข้า-ออกห้องก็ไม่ต้องเจอกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามโดยตรงนั่นเองค่ะ

ตำแหน่งห้องไหนที่ไม่ร้อน ได้ลมเย็นๆ?

ขอบคุณรูปจาก SCG Building Materials 2017

ด้วยประเทศไทยเรานั้นอยู่ในโซนใกล้เส้นศูนย์สูตร โดยรวมแล้วก็จะมีอุณหภูมิอุ่น-ร้อนอยู่ตลอดปีค่ะ การเลือกห้องที่อยู่ตำแหน่งรับแดดตลอด ไม่มีลมพัดผ่านก็ทำให้อยู่อาศัยไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ รวมถึงส่งผลกระทบกับเรื่องค่าใช้จ่ายด้วยนะ เพราะเราจะเปิดพัดลมหรือแอร์บ่อยขึ้นแน่นอน

ดังนั้นหากใครไม่ชอบห้องที่โดนแดดร้อน แบบพอเปิดประตูเข้าห้องทีก็ปะทะอากาศภายในห้องที่อมความร้อนไว้ ก็มีหลักการง่ายๆในการเลือกตำแหน่งของห้องหลักๆจากการดูทิศทางแดดและลม

ทิศทางแดด

พระอาทิตย์จะขึ้นจากทิศตะวันออกในช่วงเช้า จากนั้นอ้อมมาทางทิศใต้และจะตกที่ทิศตะวันตก (ตามชื่อทิศเลย) ดังนั้นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกในช่วงเย็นนั้น ทิศตะวันตกเยื้องไปทางทิศใต้จะได้รับแดดช่วงบ่ายที่ถือเป็นแดดที่ร้อนสุด อีกทั้งยังมีความร้อนสะสมภายในห้องมาตลอดทั้งวันด้วย หากใครที่ซีเรียสเรื่องความร้อนภายในห้องก็ควรหลีกเลี่ยงตำแหน่งห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกและทิศใต้นั่นเอง

แต่ก็มีหลายๆคนชอบห้องที่หันไปทิศเหล่านี้นะคะ เพราะช่วยลดความอับชื้น-ฆ่าเชื้อโรคและได้พื้นที่ภายในห้องที่สว่าง รวมถึงเหมาะสำหรับคนที่ชอบตากผ้าแบบแดดจัดๆ ได้ผ้าแห้งเร็ว ไม่ต้องพึ่งเครื่องอบผ้าตลอดนั่นเอง อีกทั้งมักจะเป็นห้องราคาโปรโมชันหรือราคาถูกกว่าตำแหน่งอื่นๆ จึงถือเป็นอีกตัวเลือกห้องของคนที่มีงบจำกัดค่ะ ดังนั้นหลายๆโครงการก็มีเทคนิคการวางตำแหน่งห้องในทิศตะวันตกและทิศใต้ที่ขายได้ยาก เป็นห้องที่น่าสนใจในโครงการอย่างเช่น ห้องขนาดใหญ่หรือห้อง Rare Item ที่มีไม่กี่ยูนิตนั่นเอง

อีกเทคนิคนึงสำหรับผังคอนโดที่มีปีกอาคาร (Wing) อย่างแปลนรูปตัว U หรือ C, H, L จะมีห้องที่หันเข้ามาด้านใน (เส้นประสีแดง) และมีตัวอาคารโอบล้อมอยู่ ซึ่งจะช่วยบังแดดให้กับห้องฝั่งด้านในไม่ให้โดนแดดโดยตรงนั่นเอง ทำให้คนที่กลัวเรื่องแดดร้อนก็สามารถพิจารณาห้องฝั่งด้านในของแปลนรูปตัว U หรือ C, H, L ได้ค่ะ

ทิศทางลม

นอกจากเรื่องแสงแดดและความร้อนแล้ว การระบายอากาศภายในห้องก็ช่วยให้พักผ่อนในห้องได้สบาย ดังนั้นห้องที่หันไปทิศตะวันตกเฉียงใต้หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศทางของลมประเทศไทย ก็จะได้ลมพัดผ่านเข้าห้องบ้าง แต่แน่นอนว่าการระบายอากาศของคอนโดมิเนียมจะแตกต่างกับบ้าน ไม่ได้ความเย็นสบาย ลมพัดผ่านเยอะเทียบเท่ากับบ้าน เนื่องจากห้องพักในคอนโดส่วนใหญ่มีหน้าต่างเปิดมาด้านนอกเพียงทิศเดียว (ยกเว้นห้องมุมอาคารที่มีช่องเปิด 2 ฝั่ง) แต่หากจะให้ลมพัดผ่านได้ดีจะต้องมีทางเข้าของลมและทางออกของลมด้วยนั่นเอง

เราจะเคยเจอในคอนโดเก่าๆบางแห่งที่ทางโครงการนำนวัตกรรม Ventilation Door (บริเวณประตูหน้าห้อง) ออกแบบมีช่องระบายอากาศ เพื่อให้ได้รับ Fresh Air มากขึ้น แต่คอนโดในปัจจุบันก็มักจะติดตั้งระบบ Air Flow ต่างๆ เพื่อระบายอากาศ ด้วยการดูดอากาศเก่าออกไป เติมอากาศบริสุทธิ์เข้ามา รวมไปถึงมีระบบกรองฝุ่น PM 2.5 มาให้ด้วยค่ะ ทำให้นอกจากจะเกิดการหมุนเวียนอากาศภายในห้อง ยังช่วยลดความร้อนและกรองฝุ่นได้อีกด้วยนะ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคอนโดที่ออกแบบมารองรับกับเทรนด์การอยู่อาศัยสมัยใหม่มากขึ้นค่ะ

สำหรับคนที่ทำงานหรือใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องพักทั้งวัน อยากได้ตำแหน่งห้องที่อยู่ในทิศทางที่เหมาะสมทั้งเรื่องแดดและลม เราก็มีวงเส้นประทั้ง 2 ประเภทไว้ตามทิศทางแดดและลมตามด้านล่างเลยค่ะ

  • สีเหลือง = ไม่ร้อนแดด : ห้องที่หันไปทางทิศเหนือ

ห้องที่หันไปทางทิศเหนือ ถือเป็นตำแหน่งยอดนิยมและมีราคาสูงกว่าห้องที่หันไปทิศอื่นๆ เพราะเป็นตำแหน่งห้องที่โดนแดดน้อย ไม่ร้อนมากนัก ส่วนโครงการไหนที่มีแปลนเป็นรูปตัว U หรือ C, L และ H ก็มีห้องฝั่งด้านใน ที่ถูกอาคารล้อมรอบช่วยบังแดดไว้ ก็ทำให้สามารถเลือกห้องที่หันไปในทิศอื่นๆได้ค่ะ

  • สีน้ำเงิน = ลมพัดผ่านได้ดี : ห้องมุมอาคารที่มีช่องหน้าต่างทั้ง 2 ทิศทาง

สำหรับห้องมุมอาคารจะเป็นตำแหน่งห้องที่มีลมพัดผ่านดี รองลงมาจะเป็นห้องที่หันไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ ก็ถือว่าระบายอากาศและมีลมพัดผ่านที่ดีกว่าห้องในทิศอื่นๆนะคะ

ข้อคำนึง : ห้องมุมอาคารนี้ ถึงแม้จะได้ลมผ่านเข้ามาดีกว่าตำแหน่งอื่นๆ แต่อย่าลืมว่าจะโดนแดดและฝน 2 ฝั่งด้วย ทำให้หลายๆคนเจอปัญหารั่วซึมอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะห้องมุมอาคารที่ออกแบบเป็นกระจกเข้ามุม ก็มีโอกาสที่น้ำรั่วซึมผ่านขอบหน้าต่างหรือมุมกระจกได้ค่ะ

ตำแหน่งห้องไหนได้วิวสวย?

หลายๆคนเลือกที่จะอยู่อาศัยภายในคอนโดมิเนียม ถึงแม้จะมีงบที่ซื้อบ้านในเมืองได้ เพราะชอบชมวิวมุมสูงด้วยนะ ดังนั้น “วิว” ถือเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมากในคอนโด โดยเฉพาะคอนโด High Rise เพราะห้องพักอาศัยในคอนโดมักจะมีช่องเปิดเพียงด้านเดียวหรือ 2 ด้าน ทำให้วิวมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มบรรยากาศพักผ่อนและพักสายตา เวลาอยู่ในห้อง โดยเราจะแบ่งประเภทของวิวในคอนโดเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ วิวภายในอาคารและวิวภายนอกอาคาร

วิวภายในอาคาร

ส่วนใหญ่จะเป็นวิวพื้นที่ส่วนกลางภายในอาคารนั่นเอง ซึ่งถือเป็นวิวหลักของคอนโด Low Rise เลย เนื่องจากความสูงของคอนโด Low Rise มีมากสุดเพียง 8 ชั้น (ไม่เกิน 23 เมตร) ไม่ได้วิวมุมสูงมากเท่าคอนโด High Rise อีกทั้งบริเวณโดยรอบคอนโด Low Rise จะติดกับอาคารเพื่อนบ้านที่มีความสูงพอๆกันหรือวิวโดยรอบไม่ค่อยน่าสนใจ

ดังนั้นถ้าเลือกอยู่คอนโด Low Rise แล้วชอบวิวสวยๆ เราก็แนะนำให้เลือกห้องที่มีวิวเปิดรับพื้นที่ส่วนกลางอย่างแปลนคอนโดรูปตัว L, U หรือ C, H, O ที่มักออกแบบ Court ตรงกลางโครงการเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้ห้องที่หันเข้ามาด้านใน Court จะได้วิวส่วนกลางนี้นั่นเอง รวมถึงสามารถเลือกชั้นที่อยู่สูงกว่าชั้นส่วนกลางไม่เกิน 3 ชั้นได้ด้วยค่ะ ซึ่งห้องในตำแหน่งเหล่านี้ก็มักจะมีราคาสูงกว่าห้องที่หันออกนอกอาคาร เพราะได้วิวสวยๆของพื้นที่ส่วนกลางที่เหมือนได้รับการการันตีว่าจะดูสวยงามตลอดไปด้วยการดูแลจากนิติบุคคล แตกต่างกับห้องที่หันออกนอกอาคารที่ตอนแรกอาจจะได้วิวเปิดโล่ง แต่ในอนาคตอาจมีการก่อสร้างอาคารสูงและสุดท้ายห้องเราโดนบล็อกวิวนั่นเอง

วิวภายนอกอาคาร

สำหรับวิวภายนอกอาคารจะต้องดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ (Surrounding) ของที่ตั้งโครงการนั้นๆเลย โดยแบ่งออกเป็น 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

  • วิวเด่นของโครงการ : โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิวที่มองออกไปได้พื้นที่เปิดโล่ง โดยเฉพาะคอนโด High Rise ในชั้นสูงๆ รวมถึงเราสามารถสอบถามกับ Sale ได้โดยตรงเลย

ตัวอย่างวิวที่ Developer หลายๆเจ้าจับตามองและพยายามหาที่ดินมาสร้างคอนโด ได้แก่ วิวสวนสีเขียวขนาดใหญ่ (สวนลุมพินี, สวนเบญจกิติ, สวนจตุจักร, บางกระเจ้า), วิวแม่น้ำ (แม่น้ำเจ้าพระยา) และวิวเมือง (สาทร, อโศก, พระราม 9 และอื่นๆ ที่มีตึกสูงเยอะ สวยๆ) โดยส่วนใหญ่แล้ว คอนโดที่ได้วิวสวยๆแบบนี้จะเป็นคอนโดหรู ราคาสูง เพราะถือเป็นทำเลหายาก แทบไม่มีที่ดินเปล่าให้พัฒนาแล้ว รวมถึงตำแหน่งห้องที่หันไปเปิดรับวิวสวยๆเหล่านี้ก็มักจะมีราคาสูงกว่าด้วยค่ะ

  • วิวโดนบล็อก : หากคอนโดมิเนียมที่เราเลือกไว้สร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถไปเยี่ยมชมและดูวิวจริงจากตำแหน่งห้องที่เล็งไว้ได้เลยว่าถูกอาคารโดยรอบบังวิวมั้ย แต่ถ้าเป็นคอนโดที่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ก็มีวิธีดูง่ายๆในการเช็กว่าคอนโดที่เราเลือกโดนบล็อกวิวจากอาคารข้างเคียงหรือไม่ คือ
    – Google Maps (ปรับโหมดเป็นดาวเทียม) : เพื่อดูระยะห่างจากคอนโดและตึกสูงอื่นๆ ว่ามีระยะห่างจากอาคารประมาณเท่าไหร่ อยู่ในระยะบล็อกวิวหรือไม่ หรือใกล้มากจนเสียความเป็นส่วนตัว รวมไปถึงสามารถคาดเดาตำแหน่งได้ว่าห้องไหนที่ไม่โดนบล็อกวิวค่ะ
    – ลงพื้นที่จริง : เป็นอีกวิธี Basic ที่เราควรทำควบคู่กับการใช้ Google Maps นั่นเอง ก็ทำให้เราเห็นภาพบรรยากาศวิวโดยรอบโครงการจริงๆ

map zoom Hydeซึ่งทุกโครงการที่ทางทีม Think of Living ได้เขียนรีวิว ก็จะทำภาพสภาพแวดล้อมรอบโครงการประกอบในทุกรีวิวมาให้เหมือนภาพด้านบนเลยนะ ทำให้ทุกคนประหยัดเวลาไม่ต้องมาไล่ดูด้วยตัวเอง เพียงแค่อ่านรีวิวเราและนำภาพแผนที่นี้ไปประกอบเวลาที่ลงพื้นที่จริงค่ะ

แล้วตำแหน่งห้องที่ควรหลีกเลี่ยง มีตรงไหนบ้าง?

แน่นอนว่าในทุกๆคอนโดจะมีตำแหน่งห้องที่ดีและควรหลีกเลี่ยงด้วย ซึ่งหลังจากเราพามาดูแล้วว่าห้องพักแต่ละชั้นจะเป็นยังไง ตำแหน่งไหนน่าสนใจบ้าง มีทั้งห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัว, ห้องที่รับแดด-ลมดี รวมถึงห้องที่ได้วิวสวยๆ ดังนั้นใน Part นี้ เราจะมาสรุปตำแหน่งห้องที่ควรหลีกเลี่ยงหรือไม่ค่อยนิยมนะคะ

  • ห้องติด/ใกล้ห้องขยะ : อาจจะมีกลิ่นหรือแมลงรบกวนการอยู่อาศัย รวมถึงเสียงเปิด-ปิดประตู แต่บางคนชอบเพราะเดินไปทิ้งขยะในห้องและแยกขยะได้ง่ายดี ไม่ต้องตั้งรกอยู่ในห้องหลายวัน
  • ห้องติด/ใกล้โถงลิฟต์ : เสียงดังรบกวนจากลิฟต์และคนพูดคุย ยืนรอลิฟต์ แต่มีข้อดีที่เดินไปขึ้น-ลงลิฟต์ได้ใกล้ โดยเฉพาะเวลายกของหนักๆ เดินนิดเดียวก็ถึงห้องแล้ว
  • ห้องตรงมุมฉากอาคาร : ห้องหันหน้าชนกัน คนอื่นมองเข้ามาในห้องได้ ไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่
  • ห้องติดพื้นที่ส่วนกลางอย่าง Fitness / สระว่ายน้ำ / สวนสีเขียว : มีความเสี่ยงเรื่องเสียงดังจากการใช้งาน รวมไปถึงเรื่องความชื้นต่างๆ
  • ห้องหันออกสู่ถนน/รถไฟฟ้า : จะมีเรื่องฝุ่นละอองและเสียงดังรบกวนตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะชั้นล่างๆ แต่ก็จะได้วิวเปิดโล่งค่ะ

สุดท้ายแล้ว ไม่ใช่จะมีแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียว เพราะทุกๆห้องก็จะมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเราให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรมากที่สุด รวมถึงหากพิจารณาจากเรื่องอื่นๆควบคู่กันไปด้วยและรับเรื่องข้อจำกัดอื่นๆได้แถมพอคิดคำนวณได้ราคาที่คุ้มค่า ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเหมือนกันค่ะ

สรุปภาพรวมการเลือกตำแหน่งห้องในคอนโด

เราได้ทำสรุปภาพรวมการเลือกตำแหน่งห้องในคอนโดมาให้คร่าวๆตามภาพด้านบนเลยนะ โดยจะเป็นตำแหน่งห้องหลักๆที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ ซึ่งทุกคนก็สามารถเลือกห้องที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ตัวเองที่สุดได้เลย


ข้อจำกัดที่ทำให้ได้ตำแหน่งห้องไม่ตรงกับความต้องการ 100%

หลังจากตัดสินใจเลือกห้องที่ถูกใจที่สุดเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมเลือกตำแหน่งห้องอื่นๆ เผื่อไว้ด้วยนะคะ สักประมาณ 3 ตำแหน่ง เพราะหลายๆครั้งเราจะข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่ได้ห้องที่ตัดสินใจไว้ด้วยนะ

  1. มีคนจอง/ซื้อไปแล้ว – ลองดูห้องตำแหน่งเดียวกันในชั้นอื่นๆ หากมีงบจำกัดก็เลือกชั้นต่ำลงมา หรือจะขยับไปชั้นสูงขึ้นก็จะมีราคาสูงกว่า รวมถึงสามารถเลือกห้องที่อยู่ใกล้ๆกันแทนได้
  2. ตำแหน่งที่อยากได้ไม่มีห้อง Type ที่ต้องการ – เราต้องเลือกจากแบบห้องที่เราต้องการว่าอยู่ตำแหน่งไหนของอาคารบ้าง จากนั้นจึงเลือกตำแหน่งของห้องนั้นๆที่เหมาะกับเรามากสุด เพราะถ้าเลือกตำแหน่งห้องก่อน อาจจะไม่มีแบบห้องที่ชอบหรือเกินงบที่เรามีได้
  3. งบจำกัด – ทาง Developer รู้อยู่แล้วว่าตำแหน่งห้องไหนที่เด่น ดี หรือเป็นที่ต้องการมากๆก็จะมีราคาสูง ดังนั้นตำแหน่งห้องที่เราชอบก็อาจจะมีราคาสูงด้วยเช่นกัน รวมไปถึงยิ่งอยู่ห้องชั้นบนๆก็จะได้วิวมุมสูงและมีราคาสูงกว่าชั้นล่างๆด้วยนั่นเอง หากใครมีงบจำกัดอาจต้องเลือกตำแหน่งห้องอื่นหรือชั้นต่ำกว่าที่ตั้งใจไว้ค่ะ

จบแล้วนะคะสำหรับบทความนี้ เราหวังว่าทุกคนจะเลือกตำแหน่งห้องที่ถูกใจกับความชอบ ไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้ และช่วยประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดได้ง่ายขึ้นนะคะ ไว้ครั้งหน้าทาง Think of Living จะมีบทความน่าสนใจอะไรอีกบ้าง ติดตามกันต่อได้เลย 😊


Source of Information :