
เวลามองหาคอนโด เราอาจเริ่มจากทำเลหรือแบบห้องที่ชอบก่อน แต่สุดท้าย “งบ” นี่แหละคือสิ่งที่ตัดสินได้ชัดที่สุด
ถ้ามีงบ 2 ล้านบาท ก็ยอมรับว่าตัวเลือกดีๆก็มีไม่เยอะแล้ว แต่โครงการ “Chapter One Spark Charan” เริ่มต้น 1.89 ล้านบาท อยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า ส่วนกลางเยอะ แถมได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ถือว่าหายากในงบระดับนี้เลยค่ะ งั้นมาดูรายละเอียดแต่ละประเด็นกัน
- ทำเล : สะดวกทั้งรถส่วนตัว รถไฟฟ้าและเรือ
ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่จรัญสนิทวงศ์ จะไปทำงานหรือทำธุระก็ง่าย ใกล้ MRT บางพลัด 150 เมตร แถมมีท่าเรือให้ใช้เดินทางได้ ส่วนด้านข้างโครงการก็มี 7-11 และตลาดเล็กๆ เรียกว่ามีของกินครบทุกมื้อ ซึ่งเป็นจุดเด่นของย่านชุมชนแบบนี้เลย หรืออยากจะไปห้างใหญ่ๆก็มี Central ปิ่นเกล้า / Makro / Lotus’s อยู่ไม่ไกลค่ะ - Facilities : พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่และให้มาเยอะกว่า
เน้นพื้นที่นั่งเล่น-นั่งทำงานขนาดใหญ่และหลายจุด อีกทั้งมีสระยาวถึง 50 เมตรเลย ซึ่งเรามักจะเจอในคอนโดราคาสูงกว่านี้นะ รวมถึงมีสวนสีเขียวเกือบ 3 ไร่ และเปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย - แบบห้อง : มีให้เลือกหลายไลฟ์สไตล์
มีให้เลือกทั้ง 1-2 Bedroom และทุกยูนิตจะได้ครัวปิดทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ Layout แต่ละแบบจะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป
– โซนพักผ่อนอยู่ภายในห้อง ได้ความสงบ เป็นส่วนตัว
– ครัวปิดติดระเบียง ถูกใจ Cooking Lover หมดปัญหาเรื่องกลิ่นควันลอยเข้มาในห้อง
– พื้นที่ Walk-in Closet สำหรับสายแฟชั่น เสื้อผ้าเยอะ
– Common Area ใหญ่ ชวนเพื่อนมานั่งเล่นในห้องได้สบายๆ
– มีห้องอเนกประสงค์ปรับเป็นห้องทำงาน ห้องออกกำลังกายได้
– 2 ห้องนอน รองรับครอบครัวขนาดเล็กได้เลย
แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือขนาดโครงการใหญ่ 1,533 ยูนิต+2 ยูนิต ทำให้คึกคักกว่าโครงการเล็กๆ หากต้องการบรรยากาศเงียบมากๆ นี่อาจไม่ตรงใจมากนัก แต่ถ้ามองเรื่องว่าเป็นคอนโดไม่ถึง 2 ล้านที่ได้ทำเลติดถนนใหญ่ ใกล้ MRT ส่วนกลางก็ขนาดใหญ่และครบ แถมมีห้องให้เลือกได้หลากหลาย ก็ถือว่าคุ้มค่าเลยค่ะ
ถ้ากำลังลังเลว่าคอนโดนี้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเองไหม ลองดูรีวิว+ภาพจริงด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ เผื่อจะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
ข้อมูลโครงการ
รีวิว Chapter One Spark Charan (เชปเตอร์วัน สปาร์ค จรัญ) ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568
| ชื่อโครงการ | Chapter One Spark Charan (เชปเตอร์วัน สปาร์ค จรัญ) |
| ชื่อผู้ประกอบการ | บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) |
| SEGMENT CLASS | MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2023 ) |
| โครงการตั้งอยู่ | ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร 10700 |
| ที่ดิน | 6-2-57.5 ไร่ |
| ประเภทคอนโด | High Rise 26 ชั้น 1 อาคาร |
| จำนวนยูนิต | 1,533 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต |
| ยูนิตต่อชั้นสูงสุด | 74 ยูนิต |
| ที่จอดรถ | 528 คัน คิดเป็น 34% ไม่รวมซ้อนคัน (แบ่งเป็นที่จอดรถผู้พิการ 10 คันและ EV Charger 4 คัน) |
| เริ่มก่อสร้าง | ปี 2566 |
| คาดว่าจะแล้วเสร็จ | ปี 2568 |
| ประเภทห้องพัก |
|
| ราคาเริ่มต้น | ราคาเริ่มต้น 1.89-4.69 ล้านบาท |
| ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ | ราคาประมาณ 94,000 บาท/ตร.ม. |
| EIA (ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) | ผ่านแล้ว |
| เว็บไซต์โครงการ | คลิกที่นี่ |
| Call Center | 1739 |

ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.795052628898121, 100.50610306725157
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
Highlight
- ตั้งอยู่ติดถนนจรัญสนิทวงศ์ เดินทางเชื่อมต่อเข้า-ออกเมืองได้ง่าย
- ใกล้ MRT บางพลัด 150 เมตร เป็นระยะที่เดินได้สบาย อีกทั้งเชื่อมรถไฟฟ้า 5 สายทั้ง BTS สายสีเขียวอ่อน, MRT สายสีม่วง, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม รวมถึงรถไฟฟ้าสายอนาคตอย่าง MRT สายสีม่วงใต้, MRT สายสีส้มตะวันตกและรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนส่วนต่อขยาย
- มีท่าเรือเป็นตัวเลือกในการเดินทางบนทำเล โดยจะมีท่าเรือเทพากรที่ใกล้โครงการที่สุด
- 7-11 และตลาดเล็กๆอยู่ข้างโครงการ แวะซื้อของกิน-ของใช้ได้ง่าย ส่วนห้างใหญ่ๆอย่าง Lotus’s จรัญสนิทวงศ์, Central ปิ่นเกล้า และ Makro จรัญสนิทวงศ์ ก็อยู่ในระยะ 6 กม.
แผนที่จากทางโครงการค่ะ
Chapter One Spark Charan ตั้งอยู่ตรงไหน?
โครงการ Chapter One Spark Charan มีทางเข้า-ออกโครงการอยู่ติดถนนจรัญสนิทวงศ์ ใกล้กับซอยจรัญสนิทวงศ์ 85 สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังถนนบรมราชชนนี, ถนนสิรินธร, ถนนบางขุนนนท์, ถนนราชพฤกษ์, ถนนอรุณอมรินทร์และถนนราชวิถีได้ ซึ่งมี Highlight ทำเลโครงการที่อยู่ใกล้ MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางพลัดเพียง 150 เมตร เป็นระยะที่เดินไปใช้งานได้สบายๆ
นอกจากนั้นยังอยู่บนทำเลจรัญฯตอนปลาย มีข้อดีที่ใกล้สะพานพระราม 7 จึงเดินทางข้ามฝั่ง เพื่อเข้าเมืองไปยังย่านรัชดาภิเษก-ลาดพร้าว-พระราม 9 ได้สะดวก รวมถึงยังใช้สะพานกรุงธนฯหรือสะพานซังฮี้ข้ามฝั่งไปโซนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้ด้วยค่ะ อีกทั้งพออยู่ติดถนนใหญ่ก็เรียกรถ Taxi หรือรถสองแถวที่ผ่านไปมาได้ง่าย มีซุ้มวินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆและมีป้ายรถเมล์อยู่ด้านหน้าโครงการเลย ส่วนทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกอยู่ไม่ไกล มีท่าเรือเป็นตัวเลือกในการเดินทางบนทำเลด้วย ทำให้จะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือสาธารณะก็สะดวกสบาย และที่สำคัญที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ห้องพักอาศัยในชั้นสูงๆจะมองเห็นแนวเส้นแม่น้ำได้ชัดเจน
ตลาดเล็กๆด้านข้างทางเข้า-ออกโครงการ
สำหรับความอุดมสมบูรณ์ใกล้ๆโครงการจะมีตลาดเล็กๆอยู่ด้านข้างทางเข้า-ออกโครงการเลย ถึงแม้จะดูมีร้านค้า-ร้านอาหารไม่เยอะนัก แต่ก็เป็นเพราะว่าแต่ละร้านจะเปิดขายสลับเวลากันไปตั้งแต่เช้า-เย็นนั่นเอง ทำให้ลูกบ้านแวะซื้อได้ตลอดทั้งวันนะคะ นอกจากนั้นยังมีร้านสะดวกซื้อ 7-11 ให้มาซื้อของกันได้ง่ายๆ หรือจะข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามจะเจอกับ Tops daily ให้มาซื้อของสด ของแห้งกันได้ รวมถึงปั๊มน้ำมัน PT ที่ภายในมี KFC, กาแฟพันธุ์ไทยและร้านสะดวกซื้อ Max Mart ด้วย หากขยับไปอีกก็จะมีตลาดนัด รพ.ยันฮีที่เป็นแหล่งร้านค้า ร้านอาหารให้เราซื้อได้เหมือนกันค่ะ นอกจากนั้นจะมีร้านค้า ร้านอาหารเปิดประปรายตามแนวถนนด้วยนะคะ
แต่จริงๆแล้วแหล่งความอุดมสมบูรณ์หลักของทำเลจะอยู่ตรงเส้นถนนบรมราชชนนี มีทั้ง Central ปิ่นเกล้า, The Sense และ Major Cineplex ส่วนบนถนนจรัญสนิทวงศ์จะมี Makro จรัญสนิทวงศ์, Lotus’s จรัญสนิทวงศ์ หรือจะไปถนนบางขุนนนท์ที่ตลอดเส้นทางจะมีร้านค้า ร้านอาหารหลากหลาย ที่หลายๆคนจะแวะซื้อของกินก่อนกลับบ้านกัน รวมถึงตลาดบางขุนนนท์และตลาดน้ำตลิ่งชัน นอกจากนั้นยังเป็นทำเลที่รายล้อมไปด้วยโรงพยาบาลมากมาย ทั้งโรงพยาบาลใหญ่อย่าง รพ.ศิริราช, รพ.ตา หู คอ จมูก, รพ.ผิวหนังอโศก ปิ่นเกล้า, รพ.เจ้าพระยา และ รพ.ธนบุรี รวมถึงยังมีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชื่อดังต่างๆ
อย่างที่เราได้บอกไปว่าตัวโครงการจะตั้งอยู่ใกล้ MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางพลัด เพียง 150 เมตร ซึ่งนั่งถัดไปไม่กี่สถานีก็เชื่อมโยงแนวเส้นรถไฟฟ้าอื่นๆได้รวม 5 สาย จึงใช้เดินทางรอบกรุงเทพฯได้สะดวกมากๆค่ะ
- Interchange Station ของ MRT เตาปูน : ใช้เปลี่ยนเส้นทางไปยัง MRT สายสีม่วง เพื่อเดินทางไปโซนบางใหญ่ได้ รวมถึงจะมี MRT สายสีม่วงใต้ตัดผ่านในอนาคต จึงเชื่อมไปยังโซนสามเสน สุขสวัสดิ์และครุในได้ง่ายขึ้น
- MRT บางซื่อ เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม : ทำให้เดินทางออกนอกเมืองได้ง่าย อีกทั้งยังเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนด้วย
- Interchange Station ของ MRT สวนจตุจักร – BTS หมอชิต : แนวเส้นทางของ BTS สายสีเขียวอ่อนนี้ตัดผ่านย่านสำคัญของกรุงเทพฯหลายโซน เดินทางไปทำงาน ทำธุระในเมืองได้ง่าย
- Interchange Station ของ MRT บางขุนนนท์ – MRT สีส้ม – รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน : สำหรับ MRT บางขุนนนท์ ในอนาคตจะเป็น Interchange Station จุดเชื่อมต่อไปยัง MRT สายสีส้มตะวันตกที่อยู่ในระหว่างก่อสร้าง คาดเปิดปี 2573 และรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช – ตลิ่งชัน – ศาลายา ที่อยู่ในระหว่างการประมูล คาดเปิดในปี 2572
ด้วยตัวทำเลที่อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาจึงมีตัวเลือกในการเดินทางเป็นเรือด่วนเจ้าพระยาด้วยนั่นเอง จึงหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดบนถนนหรือสะพานข้ามฝั่งแม่น้ำได้ โดยท่าเรือที่ใกล้โครงการที่สุดจะเป็น ท่าเรือเทพากร อยู่ห่าง 1.6 กิโลเมตร จึงใช้เดินทางเพื่อไปโซนสาทรได้เลย
คอนโดจรัญฯ ราคาเท่าไหร่?
ทำเลนี้ก็ถือว่ามีคอนโดอยู่หลายแห่งเหมือนกัน เพราะเป็นย่านชุมชนดั้งเดิม ทำให้นอกจากจะมีความต้องการของคนบนทำเลนี้ที่ต้องการขยับขยายที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีกลุ่มคนทำงานบนทำเลนี้อย่างใกล้ๆจะเป็นโรงพยาบาลยันฮี รวมไปถึงกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ตรงโซนศิริราชหรือกลุ่มคนทำงานในเมืองที่เลือกทำเลขยับออกนอกเมืองมาหน่อย แต่ยังเดินทางได้ง่ายและราคาไม่สูงค่ะ
โซนคอนโดปิ่นเกล้า-คอนโดจรัญ-คอนโดบางพลัดที่เป็น High Rise จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.99 ล้านบาทไปจนถึง 2.69 ล้านบาท รวมถึงจะเกาะอยู่บนเส้นบรมราชชนนีหรือสิรินธร เน้นความอุดมสมบูรณ์โดยรอบค่อนข้างคึกคัก แต่โครงการ Chapter One Spark Charan จะอยู่บนเส้นถนนใหญ่ จรัญสนิทวงศ์ เน้นเดินทางง่าย ใกล้ MRT และมีราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ซึ่งถือว่าถูกสุดบนทำเล ซึ่งก็เป็นไปตามขนาดห้องเริ่มต้นที่เล็กกว่านิดหน่อยค่ะ นอกจากนั้นยังเป็นคอนโดวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยแบบเห็นได้ชัดเจนจริงๆนะ ไม่ใช่เห็นเป็นแนวเส้นแม่น้ำอยู่ไกลๆ ทำให้หากเทียบกับคอนโดเพื่อนบ้านบนทำเลเดียวกันหรือคอนโดวิวแม่น้ำเองก็ถือว่าโครงการ Chapter One Spark Charan โดดเด่นในเรื่องราคาที่ไม่เกิน 2 ล้านบาท แต่ทั้งอยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าแบบเดินได้ พร้อมชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้กว้างๆเลย
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
สภาพแวดล้อมรอบๆโครงการ Chapter One Spark Charan ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่อยู่อาศัยฝั่งริมถนนใหญ่จะเป็นตึกแถวและอาคารพาณิชย์สูง 3-4 ชั้น โดยมีทางเข้า-ออกโครงการติดกับถนนจรัญสนิทวงศ์ แต่ตัวอาคารพักอาศัยจะอยู่ด้านใน ทำให้ลดเรื่องเสียงดังรบกวนจากรถยนต์บนถนนและรถไฟฟ้าได้ค่ะ ส่วนวิวโดยรอบค่อนข้างโปร่งโล่ง ไม่มีอาคารสูงอยู่ในระยะประชิด
- ทิศเหนือ ติดกับ ชุมชนบ้านพักอาศัยและแนวตึกแถว
- ทิศตะวันออก ติดกับ ตลาด , 7-11 , โรงแรม 8 ชั้นและถนนจรัญสนิทวงศ์
- ทิศใต้ ติดกับ ถนนจรัญสนิทวงศ์ , สำนักงานเขตบางพลัด และแนวตึกแถว
- ทิศตะวันตก ติดกับ แนวตึกแถวและชุมชนที่อยู่อาศัย
ภาพบรรยากาศบริเวณด้านหน้าโครงการ เมื่อมองไปฝั่งตรงข้าม
ภาพบรรยากาศบริเวณด้านหน้าโครงการ Chapter One Spark Charan
ภาพบรรยากาศวิวโดยรอบโครงการ ฝั่งทิศเหนือ
ภาพบรรยากาศวิวโดยรอบโครงการ Chapter One Spark Charan
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
ห้างสรรพสินค้า / ตลาด
- 7-11 / ตลาด ∼ 0 เมตร
- ตลาดนัด รพ.ยันฮี ∼ 1.5 กิโลเมตร
- Lotus’s จรัญสนิทวงศ์ ∼ 1.8 กิโลเมตร
- Major Cineplex ปิ่นเกล้า ~ 4.3 กิโลเมตร
- PATA ปิ่นเกล้า ~ 4.8 กิโลเมตร
- Lotus’s ปิ่นเกล้า ~ 5.0 กิโลเมตร
- Central ปิ่นเกล้า ~ 5.3 กิโลเมตร
- Makro จรัญสนิทวงศ์ ~ 5.6 กิโลเมตร
โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลยันฮี ∼ 1.5 กิโลเมตร
- โรงพยาบาล หู ตา จมูก ~ 4.9 กิโลเมตร
- โรงพยาบาลเจ้าพระยา ~ 6.0 กิโลเมตร
- โรงพยาบาลศิริราช ~ 6.2 กิโลเมตร
โรงเรียน
- โรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์ ∼ 2.2 กิโลเมตร
- โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ∼ 3.4 กิโลเมตร
- โรงเรียนทิวไผ่งาม ∼ 3.9 กิโลเมตร
- โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ∼ 3.9 กิโลเมตร
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้านครเหนือ ∼ 4.4 กิโลเมตร
- โรงเรียนราชินีบน ∼ 4.8 กิโลเมตร
สถานที่ราชการ
- สำนักงานเขตบางพลัด ∼ 230 เมตร
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ∼ 4.1 กิโลเมตร
- รัฐสภาใหม่ ∼ 5.8 กิโลเมตร
รายละเอียดโครงการ
Highlight
- ราคาถูกสุดบนทำเล ด้วยราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท จับต้องได้ง่าย
- คอนโดวิวแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดรับวิวแม่น้ำได้กว้างๆ โดยเฉพาะชั้น 15 ขึ้นไป
- พื้นที่สีเขียวรวมเกือบ 3 ไร่ ได้บรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ
- เน้นพื้นที่นั่งเล่น-นั่งทำงานเยอะ เหมาะสมกับจำนวนลูกบ้านที่เยอะ ทำให้ออกแบบกระจายหลายจุดทั้ง Indoor, Outdoor หรือภายในสวน จึงมาใช้งานได้พร้อมๆกันทั้งเดี่ยวและกลุ่ม
โครงการ Chapter One Spark Charan เป็นคอนโด High Rise สูง 26 ชั้น จำนวน 1,533 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต พร้อมพื้นที่จอดรถ 528 คัน คิดเป็น 34% ไม่รวมซ้อนคัน (แบ่งเป็นที่จอดรถผู้พิการ 10 คันและ EV Charger 4 คัน) บนที่ดิน 6-2-57.5 ไร่ ที่ออกแบบภายใต้แนวคิด “Craft Of Work”
โดยจุดเด่นของโครงการ ก็คือ คอนโดวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท* ซึ่งไม่ว่าจะเทียบกับคอนโดจรัญฯ เพื่อนบ้านทำเลข้างเคียงกันหรือในบรรดาวิวแม่น้ำด้วยกัน ก็ถือว่ามีราคาถูกสุดนั่นเอง นอกจากนั้นยังโดดเด่นด้วยพื้นที่สวนสีเขียวขนาดใหญ่รวมเกือบ 3 ไร่เลย ทำให้มีบรรยากาศภายในโครงการที่ผ่อนคลายและใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ นอกจากนั้นยังออกแบบเน้นพื้นที่นั่งเล่น นั่งทำงานทั้งแบบเดี่ยว แบบกลุ่มอยู่หลายจุดให้ใช้งานได้ง่ายๆด้วย
Master Plan

เราขอเริ่มกันที่ Master Plan โครงการกันเลยนะคะ โดยทางเข้า-ออกโครงการจะอยู่ติดถนนจรัญสนิทวงศ์และมีถนนของโครงการยาวประมาณ 70 เมตรเชื่อมเข้าไปยังตัวอาคารที่ตั้งอยู่ด้านใน ทำให้ถนนด้านหน้านี้ถือเป็น Buffer Zone ช่วยป้องกันเสียงและฝุ่นควันจากรถยนต์และรถไฟฟ้า ได้บรรยากาศภายในโครงการที่เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนมากยิ่งขึ้นค่ะ
สำหรับพื้นที่ส่วนกลางของโครงการตรง ชั้น 1 จะเน้นเป็นพื้นที่พักคอยและต้อนรับแขก นอกจากนั้นจะมีสวนสีเขียวอยู่ด้านข้างให้มานั่งเล่นในสวนได้ รวมถึงมีสนามเด็กเล่นอยู่โซนด้านหลังของโครงการ พร้อมจัดมุมนั่งเล่นกระจายรอบสวนด้วยค่ะ
ทางเข้า-ออกของโครงการ
ทางเข้า-ออกของโครงการจะอยู่ติดถนนจรัญสนิทวงศ์และมีถนนยาวเชื่อมต่อเข้าไปยังตัวอาคารพักอาศัย โดยจะมีรูปแบบประตูทางเข้า-ออกโครงการจะเป็นรั้วกั้นไม้กระดก พร้อมระบบในการเข้า-ออกแบบ Bluetooth Access มี CCTV ส่วนกลาง, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง และรั้วทึบรอบโครงการสูง 3 เมตร เพื่อช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ ให้ลูกบ้านอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจ
Drop Off
เมื่อเข้ายังบริเวณด้านหน้าของอาคารพักอาศัยจะเป็นจุด Drop Off เพื่อรับ-ส่งลูกบ้านและสามารถวนรถออกไปด้านนอกโครงการได้เลย หรือจะขับตรงเข้าด้านในโครงการเพื่อจอดรถได้ค่ะ
นอกจากนั้นยังมีร้านค้าอยู่ 2 ยูนิต เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านในโครงการมาจับจ่ายใช้สอยได้ง่ายๆ แต่ปัจจุบันยังใช้เป็นพื้นที่สำนักงานขายอยู่นะคะ ส่วนทางเข้าอาคารพักอาศัยจะอยู่ถัดจากร้านค้า 2 ยูนิตค่ะ
พื้นที่จอดรถ
พื้นที่จอดรถของโครงการสามารถจอดรถได้ 528 คัน คิดเป็น 34% ไม่รวมซ้อนคัน (แบ่งเป็นที่จอดรถผู้พิการ 10 คันและ EV Charger 4 คัน) ถือว่าเหมาะสมกับตัวโครงการที่ใกล้ MRT บางพลัด 150 เมตรและมีรถสาธารณะอื่นๆให้เลือกใช้งานได้นั่นเอง
Sparkling Eden สวนสีเขียวบริเวณด้านหน้าอาคาร
ก่อนที่เราจะเข้าไปดูภายในอาคารพักอาศัยกัน อยากจะขอพามาดู Sparkling Eden สวนสีเขียวบริเวณด้านหน้าอาคารกัน ทำหน้าที่เป็นมุมต้อนรับสายตาเมื่อเดินหรือขับรถเข้า-ออกโครงการ จึงได้บรรยากาศสดชื่น-น่าอยู่อาศัย อีกทั้งช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในโครงการด้วยนั่นเอง
ภายในสวนจะออกแบบพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนอยู่หลากหลายรูปแบบให้ใช้งานได้ตามความต้องการ รวมถึงปลูกต้นไม้เล็ก-ใหญ่ล้อมรอบ ทำให้เวลามานั่งเล่นก็จะได้ร่มเงาของต้นไม้ด้วยนะคะ
Waiting Area
ต่อมาเราพาเข้ามาภายในอาคารพักอาศัยกันค่ะ โดยพื้นที่แรกจะเป็น Waiting Area เป็นพื้นที่ต้อนรับและพักคอย โดยเพื่อนๆหรือแขกของลูกบ้านสามารถเข้ามานั่งรอลูกบ้านตรงบริเวณนี้ได้เลย รวมถึงลูกบ้านเองก็นั่งคอยรถต่างๆมารับได้ด้วย ซึ่งออกแบบเป็นพื้นที่โล่งๆ มีมุมโต๊ะและโซฟาวางกระจายอยู่โดยรอบค่ะ
ประตูบานเลื่อนกั้นแบ่งโซน Waiting Area พร้อม Keycard Access
ทางโครงการออกแบบมีประตูบานเลื่อนกั้นแบ่งโซน Waiting Area ออกจาก Sparkling Lobby และ Shining Lounge พร้อมติดตั้งระบบ Keycard Access เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยของลูกบ้าน เพราะบุคคลภายนอกไม่ว่าจะเพื่อน แขกหรือครอบครัวที่มาเยี่ยมจะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปด้านในอาคาร นอกจากจะมีลูกบ้านลงมารับนั่นเองค่ะ ส่วนด้านข้างจะมีประตูเปิดไปยังพื้นที่จอดรถนะคะ
Sparkling Lobby และ Shining Lounge
Sparkling Lobby และ Shining Lounge จะออกแบบอยู่บริเวณเดียวกันเลย ทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องกัน โดย Sparkling Lobby จะเป็นพื้นที่ต้อนรับและพักคอยที่จัดทั้งโซฟาและโต๊ะ-เก้าอี้ไว้เยอะและหลากหลายรูปแบบให้มาเลือกใช้งานกันได้ อีกทั้งยังออกแบบเป็นห้องฝ้าเพดานสูง จึงได้บรรยากาศโปร่งสบาย รวมถึงเราชอบการตกแต่งฝ้าเพดานมากๆเลยนะ เพราะดูสวยงามและสร้างความประทับใจแรกได้ดี อีกทั้งยังเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสันสดใสก็ได้บรรยากาศภายในห้องที่มีชีวิตชีวาดีค่ะ
Shining Lounge
Shining Lounge จะเป็นโซนสำหรับพื้นที่นั่งทำงานและพื้นที่นั่งเล่น เราชอบที่ถึงแม้จะออกแบบอยู่บริเวณเดียวกับ Sparkling Lobby แต่เลือกใช้สีส้มแดงเพื่อแบ่งโซนออกจากกันชัดเจน จึงได้ความเป็นสัดส่วนดีถึงแม้จะอยู่บริเวณเดียวกัน โดยจะจัดวางเป็นโต๊ะบาร์และโซฟายาวให้มานั่งพักผ่อนกัน
บริเวณด้านข้างของ Sparkling Lobby และ Shining Lounge จะมีประตูกระจกกั้นอีกชั้น ก่อนจะไปยังพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆ
โถงทางเดินยาวเชื่อมไปโซนลิฟต์ 2 จุดและส่วนกลาง
หลังจากผ่านประตูเข้ามาแล้ว จะเจอกับโถงทางเดินยาวที่แจกจ่ายไปยังโซนลิฟต์-Mail Room ทั้ง 2 จุด, ห้องนิติบุคคล, Gather & Glow Room (ห้องประชุม), Chill & Shine Space (มุมนั่งเล่นส่วนตัว) และ Delivery & Vending machine room ค่ะ
โซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 1
โซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 1 จะอยู่ใกล้ๆกับ Sparkling Lobby และ Shining Lounge ที่เราพาไปดูกันมาเมื่อกี้เลยนะคะ
โซนลิฟต์
ด้วยตัวโครงการที่มีขนาดใหญ่จึงออกแบบ โซนลิฟต์และ Mail Room แบ่งเป็น 2 จุดด้วยกัน โดยภาพด้านบนนี้จะเป็นโซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 1 ที่ตกแต่งเป็นสีส้มชมพูอ่อนๆ และมีลิฟต์โดยสารอยู่ 3 ตัวด้วยกันค่ะ
Mail Room
Mail Room ของจุดที่ 1 จะมี Mailbox ของทุกห้องและออกแบบตำแหน่ง Mailbox ของทุกห้องไม่อยู่สูงเกินไปจนเอื้อมเปิด-ปิดไม่ได้ รวมถึงมี Smart Locker ให้ใช้งานกันได้ด้วย
ต่อมาเราพอกลับมาที่โถงทางเดินเพื่อไปดูพื้นที่ส่วนกลางตรงชั้น 1 กันต่อเลย ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นเป็นพื้นที่นั่งทำงานหรือนั่งเล่นไม่ว่าจะเป็น Indoor หรือ Outdoor เยอะมากๆ รวมถึงยังแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆอีกเยอะเลยค่ะ อย่างที่เราจะพาไปดูเป็น Gather & Glow Room (ห้องประชุม), Chill & Shine Space (มุมนั่งเล่นส่วนตัว) ที่อยู่ทางฝั่งขวาของภาพนั่นเอง
เรามองว่าด้วยขนาดโครงการที่ใหญ่ รวม 1,533 ยูนิต + 2 ยูนิต จึงถือว่ามีความคึกคักสูง ทำให้การแบ่งพื้นที่ส่วนกลางเป็นห้องเล็กๆแบบนี้ก็ทำให้ลูกบ้านใช้งานได้ทั่วถึงและมีพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้งานได้เป็นส่วนตัวอยู่เหมือนกัน
Chill and Shine Space
Chill & Shine Space จะมีอยู่ 2 ห้องด้วยกัน โดยจะออกแบบเป็นมุมนั่งเล่นส่วนตัวพร้อมตกแต่งด้วยสีฟ้า-แดง ลูกบ้านสามารถมานั่งเล่นพักผ่อน พูดคุยกับเพื่อนๆได้เป็นส่วนตัวดี
Gather and Glow Room
ถัดจาก Chill & Shine Space จะเป็น Gather & Glow Room โดยจะออกแบบเป็นห้องประชุมทั้งห้องใหญ่และห้องเล็ก อย่างภาพด้านบนนี้จะเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ รองรับได้ 6 ที่นั่งพร้อมทีวีไว้ใช้นำเสนองานได้ ส่วนด้านข้างจะเป็นกระจกใส เพื่อใช้เป็น Whiteboard พื้นที่เขียน Brainstorm ได้ค่ะ โดยผนังห้องเลือกทาเป็นสีเหลือง ได้บรรยากาศภายในห้องที่สดใสดีเลย
Gather and Glow Room
อย่างที่เราบอกไปนะคะว่า Gather & Glow Room จะมีห้องประชุมเล็กๆด้วย จะมีอยู่ 2 ห้องด้วยกัน โดยภายในห้องจะตกแต่งเหมือนกันเลย มีโต๊ะ-เก้าอี้ 4 ที่นั่ง พร้อมแขวนทีวีไว้สำหรับประชุมหรือพรีเซ้นต์งานได้ค่ะ
ห้องน้ำส่วนกลาง
ทางโครงการมีออกแบบห้องน้ำส่วนกลางไว้ให้ลูกบ้านสามารถมาใช้งานกันได้ง่ายๆด้วยนะ โดยจะแบ่งเป็นห้องชาย-หญิงแยกกันชัดเจน รวมถึงมีห้องน้ำแบบ Universal Design ที่มีขนาดใหญ่ สามารถเข็นวีลแชร์เข้ามาภายในห้องได้ พร้อมประตูบานเลื่อน เปิด-ปิดได้ง่ายและติดตั้งราวจับช่วยพยุงเวลาลุก-นั่งมาให้ครบเลยค่ะ
ถัดเข้าไปสุดโถงทางเดินจะเจอกับโซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 2 รวมถึง Delivery & Vending machine room ค่ะ
โซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 2
สำหรับโซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 2 จะเลือกทาสีผนังเป็นเขียวมินต์แตกต่างจากจุดที่ 1 ที่ทาสีส้มแดงนะคะ โดยจะมีโซน Mail Room อยู่ด้านหน้าและออกแบบตำแหน่ง Mailbox เอื้อมเปิดได้ง่าย รวมถึงมี Smart Locker ให้ใช้งานกันได้ ส่วนโซนลิฟต์จะอยู่ด้านใน มีทั้งหมด 4 ตัวค่ะ
Delivery and Vending machine room
ต้องยอมรับเลยว่า Delivery & Vending machine room ถือเป็นฟังก์ชันส่วนกลางที่ขาดไม่ได้แล้วในคอนโดปัจจุบันนี้ เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆก็หันมาใช้บริการสั่งอาหารหรือข้าวของเครื่องใช้แบบ Delivery กันมากขึ้น
ดังนั้นทางโครงการนี้ก็ออกแบบ Delivery & Vending machine room มารองรับกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนสมัยใหม่ โดยตั้งชั้นวางของและติดตั้งแอร์ เพื่อรักษาอุณหภูมิของอาหารไม่ให้เน่าเสีย
รวมถึงออกแบบมีประตูทางเข้า-ออก 2 จุด สำหรับประตูจุดแรกจะอยู่ใกล้กับพื้นที่จอดรถ เพื่อให้พี่ๆ Rider ขับรถมาจอดและเข้ามาภายในห้องเพื่อวางของต่างๆได้เลย ส่วนประตูอีกจุดจะอยู่ใกล้กับโซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 2 เพื่อให้ลูกบ้านมาหยิบของกันได้ง่ายๆ พร้อมติดตั้งระบบ Keycard Access ป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกแอบลักลอบเข้ามาภายในโครงการผ่านห้องนี้นั่นเอง
จริงๆแล้วก่อนจะไปยังโซนลิฟต์และ Mail Room จุดที่ 2 รวมถึง Delivery & Vending machine room จะมีทางเดินแยกไปยังประตูที่เปิดไปบริเวณด้านหลังโครงการด้วยค่ะ
สำหรับประตูนี้จะเปิดออกไปยังบริเวณด้านหลังโครงการที่เป็น Shine Zone (สนามเด็กเล่น พัฒนาและออกแบบร่วมกับ รพ.วิมุต) และ Active Glow Path (Jogging Track ความยาวประมาณ 150 เมตร) นั่นเอง ทำให้ลูกบ้านเดินไปใช้งานพื้นที่ส่วนกลางด้านหลังโครงการได้สะดวก ไม่ต้องเดินอ้อมออกไปนอกอาคาร นอกจากนั้นด้านข้างประตูนี้จะมี Laundry Room เป็นห้องสำหรับซักผ้าด้วยนะคะ ลูกบ้านจึงไม่ต้องหอบเสื้อผ้าพะรุงพะรังไปซักด้านนอกค่ะ
หลังจากเราเปิดประตูเชื่อมออกมายังโซนด้านหลังโครงการกันแล้ว จะเจอกับ Shine Zone ออกแบบเป็นสนามเด็กเล่นนั่นเอง อีกทั้งยังเชื่อมกับสวนสีเขียวและ Active Glow Path ที่เป็น Jogging Track ด้วยค่ะ
Shine Zone
Shine Zone เป็นสนามเด็กเล่น พร้อมเครื่องเล่นต่างๆให้เด็กๆมาเล่นสนุกกันได้ อีกทั้งออกแบบมีรั้วกั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆวิ่งออกมายังบริเวณถนนด้วย ซึ่งทางโครงการจะพัฒนาและออกแบบสนามเด็กเล่นนี้ร่วมกับ รพ.วิมุต เพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กๆและใช้งานได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งมีต้นไม้โดยรอบให้บรรยากาศสดชื่นดี
สวนสีเขียวและ Active Glow Path
ถัดจากสนามเด็กเล่น Shine Zone จะเป็นพื้นที่สวนสีเขียว พร้อมพื้นที่นั่งเล่นที่กระจายอยู่รอบสวน เพื่อให้มานั่งพักผ่อนท่ามกลางสวนสีเขียวกันได้ อีกทั้งมีต้นไม้ใหญ่คอยเป็นร่มเงาให้มานั่งได้นานมากขึ้นด้วยนะ รวมถึงมี Active Glow Path เป็น Jogging Track ความยาวประมาณ 150 เมตร ให้มาวิ่งออกกำลังกายกันได้ค่ะ
ชั้น 5
แปลนชั้น 5 ของโครงการจะมีทั้งพื้นที่ส่วนกลางและห้องพักอาศัยอยู่ชั้นเดียวกัน แต่ทางโครงการก็ออกแบบแบ่งแยกโซนได้ชัดเจนดี อีกทั้งมีประตูกั้น 2 ชั้นตรงพื้นที่ส่วนกลางและโถงลิฟต์ พร้อมติดตั้งระบบ Keycard Access เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้โซนห้องพักอาศัยในชั้นนี้ด้วยนั่นเอง
พื้นที่ส่วนกลางในชั้น 5 นี้จะอยู่บริเวณตรงกลางอาคาร ประกอบด้วย Café Glow (Co-Working Space), Glow-Working Space (ห้องทำงานเงียบๆ + ห้องส่วนตัว), Sparkling Ciné (ห้องดูหนัง) และ Luminous Pavilion (สวนสีเขียว มีชิงช้านั่งชมวิว) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนและสวนสีเขียว ถือเป็นฟังก์ชันที่ไม่ได้มีเสียงดังรบกวนมากนักนะคะ ทำให้เหมาะกับคนที่ชอบใช้งานพื้นที่ส่วนกลางเป็นประจำ แต่ยังได้บรรยากาศในการอยู่อาศัยที่สงบ
ส่วนตัวแล้วเราชอบการออกแบบพื้นที่สวนสีเขียวนี้มากๆเลยนะ ซึ่งตามปกติแล้วการออกแบบพื้นที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นตัวอาคารหรือพื้นที่สวนสีเขียวก็จะมี Grid Line เป็น Guideline ในการออกแบบอย่างวางแนวเสา คานหรือผนัง อย่างตัวอาคารของโครงการก็จะเป็น Grid Line สี่เหลี่ยมปกติทั่วไป แนวตัวอาคารและผนังต่างๆก็จะเป็นเส้นแนวตั้งและแนวนอน แต่พื้นที่ Luminous Pavilion จะเป็น Diagonal Grid มีแนวเส้น Guideline แบบเฉียง ทำให้การออกแบบพื้นที่ภายในสวนสีเขียวไม่ว่าจะเป็นทางเดินหรือกระบะปลูกต้นไม้ต่างๆก็จะเป็นแนวเส้นเฉียงเหมือนกัน ทำให้เวลามองจาก Floor Plan ก็จะมีความน่าสนใจมากขึ้น
นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างประสบการณ์ ความรู้สึกเวลาเดินเล่นในสวนที่แตกต่างจากปกตินั่นเอง เพราะแทนที่จะเดินจากโถงทางเดินตรงไปยังราวกันตกด้านนนอก เพื่อยืนชมวิวได้เลย ก็จะต้องเดินเลี้ยวผ่านซุ้มต้นไม้ต่างๆ ทำให้ได้ใช้เวลาและซึมซับธรรมชาตินานกว่านั่นเอง แต่ที่เราไม่ค่อยเห็นการออกแบบ Diagonal Grid เท่าไหร่ก็เป็นเพราะว่าบางคนจะรู้สึกเดินยากกว่า จากความไม่เคยชิน รวมถึงแม้แต่พื้นที่ภายในห้องส่วนกลางต่างๆ ก็จะเกิดเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมที่จัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ยากและมีเสาอาคารอยู่ตรงกลางห้องด้วยนั่นเอง แต่สำหรับเรารู้สึกว่าถ้าอยู่ไปเรื่อยๆก็จะเกิดความรู้สึกเคยชินเอง อีกทั้งภายในห้องต่างๆก็จัดวางเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่โยกย้าย ขยับไป-มาได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้เห็นเป็นปัญหาใหญ่เลยนะคะ
เราขึ้นลิฟต์จากจุดที่ 1 มายังชั้น 5 ก็จะเจอว่าทางโครงการมีติดตั้งประตูกระจกกั้นไว้ด้วยนะคะ เพื่อช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับโซนห้องพักอาศัยที่อยู่อีกฝั่งของโถงลิฟต์นั่นเอง
เมื่อเราเดินออกจากโถงลิฟต์จุดที่ 1 แล้ว จะเจอกับ Sparkling Ciné (ห้องดูหนัง) อยู่ทางฝั่งด้านขวา ส่วน Glow-Working Space (ห้องทำงานเงียบๆ + ห้องส่วนตัว) จะอยู่ทางฝั่งซ้าย รวมถึงหากเราเดินตรงเข้าไปด้านในจะเจอกับ Café Glow (Co-Working Space) และโซนลิฟต์จุดที่ 2 อีกทั้งมี Luminous Pavilion (สวนสีเขียว มีชิงช้านั่งชมวิว) อยู่ตรงกลางอาคารเลย
Sparkling Ciné
เราขอพามาชม Sparkling Ciné ที่เป็นห้องดูหนังกันก่อนนะคะ โดยภายในห้องจะออกแบบเป็นโซฟายาวกว้างเท่าห้อง พร้อมติดตั้งจอทีวีขนาดใหญ่ให้ดูหนังหรือซีรีส์ได้กว้างเต็มที่เลยค่ะ อีกทั้งมีโต๊ะเล็กๆให้วางขนมหรือเครื่องดื่มไว้กินเพลินๆระหว่างดูหนังกันได้ด้วยนะ
Glow-Working Space
Glow-Working Space จะอยู่ตรงข้ามกับ Sparkling Ciné โดยออกแบบเป็นห้องทำงานที่ต้องการความเงียบสงบหรือสมาธิสูง โดยจะจัดโต๊ะ-เก้าอี้กระจายรอบห้อง รวมถึงมีห้องทำงานส่วนตัวให้ใช้งานกันด้วยนะ ซึ่งยังคงเน้นพื้นที่ส่วนกลางเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนและซอยเป็นห้องเล็กๆให้แบ่งใช้งานกันค่ะ อีกทั้งเปิดรับวิว Luminous Pavilion สวนสีเขียวตรงกลางอาคารด้วยค่ะ
บริเวณด้านหน้าของ Glow-Working Space จะวางเป็นโต๊ะแบบบาร์ให้เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งเล่นแบบ Semi Outdoor พร้อมชมวิวสวนสีเขียวด้วยนั่นเอง
ก่อนที่เราจะเข้าไปยัง Café Glow (Co-Working Space) และโซนลิฟต์จุดที่ 2 เราจะเห็นว่ามีทางเดินเชื่อมไปยัง Luminous Pavilion (สวนสีเขียว มีชิงช้านั่งชมวิว) ซึ่งจะออกแบบแบ่งเป็น 2 จุด เปิดรับวิวด้านหน้าและด้านหลังโครงการค่ะ
Luminous Pavilion
ทางโครงการออกแบบ Luminous Pavilion เป็นพื้นที่สวนสีเขียวอยู่ตรงกลางชั้น 5 ทำให้นอกจากจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลูกบ้านสามารถมาใช้งานได้ง่ายแล้ว ยังเป็นวิวสีเขียวให้กับห้องพักอาศัยส่วนนึงของโครงการด้วยค่ะ
ภายในสวนสีเขียวจะมีพื้นที่นั่งเล่นหลายจุดกระจายรอบสวนเลย ไม่ว่าจะเป็นซุ้มที่นั่งแบบ Sunken Seat มีพุ่มไม้ต่างๆล้อมรอบ, ชุดโต๊ะ-เก้าอี้นั่งเล่นในสวน รวมไปถึงจุดชมวิวให้เดินขึ้นไปด้านบนเพื่อนั่งหรือยืนชมวิวได้ นอกจากนั้นยังมีชิงช้าไว้ให้มานั่งพักผ่อนได้เหมือนกัน ซึ่งจะมีการปลูกต้นไม้เล็ก-ใหญ่และไม้พุ่มอยู่โดยรอบ ทำให้เวลามองไปทางไหนก็จะได้วิวสีเขียวและช่วยบังแสงแดดด้วยนะคะ
สวนสีเขียวฝั่งด้านหลังอาคาร
ส่วนฝั่งด้านหลังของอาคารจะมีพื้นที่สวนสีเขียวอยู่อีกจุด ซึ่งมีการออกแบบคล้ายๆกับ Luminous Pavilion เลย โดยจะมีทั้ง Sunken Seat และชุดโต๊ะ-เก้าอี้อยู่หลายจุดให้มานั่งเล่น พักผ่อนกันได้ รวมถึงยังมีต้นไม้สูงกระจายอยู่โดยรอบสวนเป็นร่มเงาให้มานั่งใช้งานได้นานมากขึ้น
Café Glow
หลังจากเราผ่านพื้นที่สวนสีเขียว Luminous Pavilion แล้วจะเจอกับ Café Glow ที่ออกแบบเป็น Co-Working Space ให้มานั่งเล่นและทำงานกันได้นั่นเอง โดยจะมีพื้นที่นั่งอยู่หลากหลายให้เลือกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นชุดโซฟา, โต๊ะ-เก้าอี้, โต๊ะยาวหรือซุ้มนั่งเล่น รวมไปถึงบาร์ Café ให้มาชงเครื่องดื่มระหว่างนั่งทำงาน หรือมาถ่ายรูป ถ่ายงานก็ได้เหมือนกัน นอกจากนั้นยังเปิดรับวิวพื้นที่สวนสีเขียวที่อยู่ด้านนอก เป็นเหมือนจุดพักสายตา ทำให้ทำงานไปก็ชมวิวได้เพลินๆ รวมถึงจะมีประตูกั้นก่อนจะเข้าไปยังโซนลิฟต์จุดที่ 2 ด้วยนะคะ
ถัดจาก Café Glowก็จะเปิดประตูออกมาเจอโซนลิฟต์จุดที่ 2 นั่นเอง และเราจะเห็นว่ามีประตูกั้นอยู่อีกชั้นก่อนไปยังโซนห้องพักอาศัยนะคะ
อย่างที่เราได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าทางโครงการจะออกแบบประตูกั้น 2 ชั้นตรงโซนลิฟต์ เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับลูกบ้านที่พักอาศัยในชั้นนี้ รวมถึงมีติดตั้งระบบ Keycard Access ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยด้วยนะคะ ทำให้ลูกบ้านก็วางใจว่าสามารถอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจนั่นเอง
ชั้น 26

สำหรับชั้น 26 นี้จะเป็น Sky Facilities และมีห้องพักอาศัยแบบ Loft อยู่ทั้งหมด 14 ห้องค่ะ แต่ก็มีการออกแบบกั้นประตูเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยให้ลูกบ้านด้วย
พื้นที่ส่วนกลางชั้นนี้จะประกอบด้วย Active Sky Ride (ที่ปั่นจักรยานและ Jogging Track ความยาวประมาณ 90 เมตร), Energetic Gym (ออกแบบแบ่ง 2 ฝั่ง ชมวิวเมืองและแม่น้ำ), Swimming Sparkling Pool พร้อม Kid’s Pool และ Jacuzzi, Sparkling Bridge (สะพานบริเวณสระว่ายน้ำ มีจุดชมวิวพื้นกระจก), Steam room (แยกชาย-หญิง) พร้อมห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า, Sparkling Sky Lounge (Sky Lounge วิวแม่น้ำ), Game Galaxy (Game Room) และ Grow & Glow Garden (สวนผัก)
จากโถงลิฟต์จุดที่ 1 จะมีประตูเปิดออกไปยังโซนสระว่ายน้ำที่เราจะขอพาไปดูกันเป็นโซนแรกเลย
Swimming Sparkling Pool
Swimming Sparkling Pool เป็นสระระบบเกลือ ขนาด 5.09×50 เมตร ความลึก 1.20 เมตร ถือว่าเป็นสระขนาด Olympic จึงใช้ออกกำลังกาย ว่ายน้ำจริงจังได้เลยค่ะ ถึงแม้จะออกแบบเป็นสระกลางแจ้ง แต่ก็มีปลูกต้นไม้อยู่โดยรอบเพื่อให้ร่มเงาด้วยนะคะ นอกจากนั้นจะมีพื้นที่อาบน้ำล้างตัวอยู่ 2 จุด และมีห้องน้ำแบ่งแยกชาย-หญิงอยู่ด้านข้างสระว่ายน้ำด้วยค่ะ
จากชั้น 26 นี้เราจะมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้กว้างๆเลยค่ะ แต่พอดีว่าช่วงที่เราไปเก็บภาพบรรยากาศมาเป็นช่วงอากาศเริ่มหนาว จึงมีหมอกนิดๆแล้วฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ แต่คิดว่าถ้าอากาศแจ่มใสก็น่าจะได้วิวสวยๆเลยนะ
ทางโครงการมีออกแบบเป็น Kid’s Pool ขนาด 2.40x 5.20 เมตร ความลึก 0.30 เมตร มาให้น้องๆเล่นน้ำหรือเล่นสนุกกันได้ มีกั้นแบ่งโซนชัดเจน อีกทั้งยังได้ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ก็ช่วยให้ไม่ร้อนมากนัก
นอกจากนั้นยังออกแบบ Jacuzzi มาให้ 2 จุดด้วยค่ะ จึงมานั่งนวดผ่อนคลายและมองออกไปได้วิวเมืองและแม่น้ำเจ้าพระยาแบบกว้างๆเลย ส่วนบริเวณด้านหลังก็จะมีต้นไม้ใหญ่ ซึ่งถ้าต้นไม้โตเต็มที่แล้วก็จะเป็นร่มเงาให้โซน Jacuzzi นี้นั่นเอง
Sparkling Bridge
ต่อมาจะเป็น Gimmick ที่ทางโครงการออกแบบมาให้ นั่นก็คือ Sparkling Bridge สะพานบริเวณสระว่ายน้ำให้เดินเชื่อมข้ามฝั่งหรือเดินชมวิวโดยรอบได้นั่นเอง รวมถึงได้ฟีลแบบว่ายน้ำลอดสะพานด้วย ซึ่งสะพานนี้จะมีจุดชมวิวที่ออกแบบพื้นเป็นกระจกด้วยค่ะ
จุดชมวิวพื้นกระจก
จาก Sparkling Bridge สะพานบริเวณสระว่ายน้ำจะมีออกแบบเป็นจุดชมวิวแบบพื้นกระจกมาให้ด้วย ทำให้เราสามารถยืนชมวิวเมืองและแม่น้ำเจ้าพระยาได้กว้างๆ อีกทั้งยังมองลงไปด้านล่างเห็นสระว่ายน้ำด้วยนะ ก็เป็น Gimmick ที่น่ารักดีค่ะ
เราพากลับเข้ามาภายในอาคารกัน จากโถงลิฟต์จุดที่ 1 จะเดินตามโถงทางเดินไปยังพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆในชั้นนี้ได้ โดยฝั่งซ้ายจะเป็น Sparkling Sky Lounge ที่เราจะพาไปชมกันต่อเลย
Sparkling Sky Lounge
Sparkling Sky Lounge เป็น Sky Lounge ที่ออกแบบเป็นห้องฝ้าเพดานสูง ประกอบกับหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่เต็มผนัง จึงได้บรรยากาศภายในห้องที่โปร่งสบายและเปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้กว้าง โดยภายในห้องจะจัดมุมพื้นที่นั่งเล่นไว้หลากหลายอย่างโซฟายาว ชุดโต๊ะ-เก้าอี้ รวมถึงที่นั่งแบบบาร์ให้มานั่งพักผ่อนกันได้ทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่ม
ห้องน้ำส่วนกลาง
ฝั่งตรงข้ามกับ Sparkling Sky Lounge จะเป็นห้องน้ำส่วนกลาง โดยออกแบบแบ่งห้องน้ำชาย-หญิงเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งภายในจะมีห้องอาบน้ำมาให้ใช้หลังจากออกกำลังกายหรือว่ายน้ำเสร็จได้ รวมถึงมี Locker สำหรับเก็บของต่างๆ, Steam room มาให้นั่งผ่อนคลายและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามาให้ด้วยค่ะ
เราพาเดินต่อมาจะเจอกับ Energetic Gym ห้องออกกำลังกายที่ออกแบบแบ่งเป็น 2 ฝั่ง เพื่อเปิดรับทั้งวิวเมืองและแม่น้ำเจ้าพระยานั่นเอง โดยเราจะพาไปดูฝั่งด้านหน้าที่เปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยากันก่อนนะคะ
Energetic Gym
Energetic Gym เป็นห้องออกกำลังกายที่ทางโครงการจัดเตรียมอุปกรณ์มาให้ครบครันทั้ง Cardio และ Weight Training รวมถึงมีติดตั้งกระจกเงาไว้เช็กท่าทางออกกำลังกายและมีมุมให้นั่งพักระหว่างออกกำลังกายได้ค่ะ อีกทั้งยังออกแบบเป็นห้องฝ้าเพดานสูงก็ได้บรรยากาศที่โปร่งโล่งดี ส่วน Highlight ของห้องนี้ก็คือออกกำลังกายไปพร้อมๆกับชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้เลยนั่นเอง
Energetic Gym
ต่อมาเราพาชม Energetic Gym ที่อยู่อีกฝั่งกันบ้าง โดยห้องนี้จะได้วิวเมืองแบบเปิดโล่ง ภายในห้องจะมีเครื่องออกกำลังกายแบบ Weight Training มาให้ด้วยนะ รวมถึงมีพื้นที่สำหรับซ้อมชกมวยค่ะ นอกจากนั้นจะมีประตูเปิดไปยัง Yoga Room ให้เรามาใช้งานกันได้
หลังจากเราผ่านทั้งโซน Swimming Sparkling Pool, Sparkling Sky Lounge และ Energetic Gym แล้ว จะเจอกับโถงลิฟต์จุดที่ 2 ค่ะ ซึ่งจะเชื่อมไปยัง Game Galaxy (Game Room) และ Grow & Glow Garden (สวนผัก) รวมถึงห้องพักอาศัยในชั้นนี้
สำหรับ Game Galaxy (Game Room) จะอยู่ทางฝั่งซ้ายนะคะ ส่วนตรงกลางจะเป็นประตูเปิดไปยัง Grow & Glow Garden ที่เป็นพื้นที่สวนสีเขียว มีพื้นที่นั่งเล่น, มุมสวนผัก, Active Sky Ride ที่ปั่นจักรยานและ Jogging Track ความยาวประมาณ 90 เมตรด้วย แต่ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างตกแต่งสวน ทำให้เราไม่มีภาพบรรยากาศมาใช้ชมกันนะคะ แต่ถ้ามีโอกาสเราจะมาอัพเดตให้ค่ะ งั้นเราพาไปดู Game Galaxy กันเลย
Game Galaxy
Game Galaxy ออกแบบเป็น Game Room พื้นที่สันทนาการมาเล่นสนุกกับเพื่อนๆได้ ภายในห้องจะมีโซฟาและจอทีวีมาเล่นเกมกัน รวมถึงโต๊ะเล่นบอร์ดเกมและโต๊ะสนุกเกอร์ให้มาใช้งานกันได้เลย หรือเราจะมานั่งพักผ่อนในบรรยากาศสบายๆก็ได้เหมือนกัน ส่วนด้านข้างก็ออกแบบเป็นหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ จึงได้ความโปร่งโล่งดีเลยค่ะ
แปลนชั้นพักอาศัย
ชั้น 5
ชั้น 6-24 จะเป็นชั้น Typical Floor Plan มีเพื่อนบ้านทั้งหมด 74 ยูนิตต่อชั้น ถือว่าหนาแน่นเลยค่ะ โดยจะออกแบบตัวอาคารเป็นตัว H และวางโถงลิฟต์ไว้ 2 จุดบริเวณตรงกลาง เพื่อกระจายความหนาแน่นและลูกบ้านมาใช้งานได้ง่าย แต่สำหรับชั้น 5 และ 25 จะมีจำนวนยูนิตต่อชั้นที่น้อยลง เพราะมีการแบ่งพื้นที่บางส่วนเป็นพื้นที่ส่วนกลางหรืองานระบบสระว่ายน้ำนั่นเอง ซึ่งเราได้วงกรอบตำแหน่งห้องที่น่าสนใจมาให้ตามนี้เลย
- กรอบสีแดง – ห้องที่มีความเป็นส่วนตัว เพราะติดกับเพื่อนบ้านด้านเดียวหรือมีโถงทางเดินหน้าห้องแบบ Single load Corridor ที่ไม่มีห้องอยู่ฝั่งตรงข้าม
- กรอบสีส้ม – ห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด เพราะไม่ติดกับเพื่อนบ้านเลย แต่ก็จะมีระยะเดินจากลิฟต์ที่ค่อนข้างไกล
- กรอบสีเหลือง – ห้องที่ไม่โดนตัวอาคารบังวิวกันเอง ทำให้ได้วิวเปิดโล่ง
- กรอบสีน้ำเงิน – ห้องที่ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะเริ่มเห็นแนวเส้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่ชั้น 10 และเห็นแบบชัดๆในชั้นที่ 15 ขึ้นไป
- กรอบสีม่วง – ห้องเปิดรับวิวสวนสีเขียวตรงชั้น 5 ซึ่งนอกจากห้องพักตรงชั้น 5 แล้วจะได้วิวสวนแบบชัดๆแล้ว เราสามารถเลือกห้องที่อยู่ชั้นสูงกว่าชั้นส่วนกลางไม่เกิน 3 ชั้นได้ค่ะ
โถงทางเดินชั้นพักอาศัย
ทางโครงการออกแบบพื้นที่ชั้นพักอาศัยให้สามารถเดินเชื่อมจากโถงลิฟต์ไปยังห้องพักอาศัยได้เลย ไม่มีการกั้นประตูกระจกเหมือนชั้นส่วนกลางนะคะ โดยบริเวณปลายสุดโถงทางเดินจะมีช่องหน้าต่าง เพื่อช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้ามานะคะ แต่ด้วยตัวโครงการที่มีขนาดใหญ่และมียูนิตต่อชั้นเยอะ ทำให้ยังต้องพึ่งพาหลอดไฟตรงโถงทางเดิน ไม่ให้ดูมืดทึบค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้น 1
– Sparkling Eden (สวนหย่อม)
– Shine Zone (สนามเด็กเล่น พัฒนาและออกแบบร่วมกับ รพ.วิมุต)
– Active Glow Path (Jogging Track ความยาวประมาณ 150 เมตร)
– Sparkling Lobby (พื้นที่พักคอย)
– Shining Lounge (โซนสำหรับนั่งทำงานและที่นั่งเล่น)
– Gather & Glow Room (ห้องประชุม)
– Chill & Shine Space (มุมนั่งเล่นส่วนตัว)
– Mail Room
– Delivery & Vending machine room
– Laundry Room
– EV Charger 4 จุด - ชั้น 5
– Café Glow (Co-Working Space)
– Glow-Working Space (ห้องทำงานเงียบๆ + ห้องส่วนตัว)
– Luminous Pavilion (สวนสีเขียว มีชิงช้านั่งชมวิว)
– Sparkling Ciné (ห้องดูหนัง) - ชั้น 26
– Active Sky Ride (ที่ปั่นจักรยานและ Jogging Track ความยาวประมาณ 90 เมตร)
– Energetic Gym (ออกแบบแบ่ง 2 ฝั่ง ชมวิวเมืองและแม่น้ำ)
– Swimming Sparkling Pool ระบบเกลือ ขนาด 5.09×50 เมตร ความลึก 1.20 เมตร พร้อม Kid’s Pool ขนาด 2.40x 5.20 เมตร ความลึก 0.30 เมตร และ Jacuzzi 2 จุด
– Sparkling Bridge (สะพานบริเวณสระว่ายน้ำ มีจุดชมวิวพื้นกระจก)
– Steam room (แยกชาย-หญิง) พร้อมห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
– Sparkling Sky Lounge (Sky Lounge วิวแม่น้ำ)
– Game Galaxy (Game Room)
– Grow & Glow Garden (สวนผัก) - พื้นที่สวนสีเขียวรวมเกือบ 3 ไร่
- ลิฟต์โดยสาร 7 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 219 : 1
- Service Lift 1 ตัว
- ที่จอดรถประมาณ 528 คัน คิดเป็น 34% ไม่รวมซ้อนคัน (แบ่งเป็นที่จอดรถผู้พิการ 10 คันและ EV Charger 4 คัน)
– สิทธิ์จอดรถ 1 Bedroom และ 1 Bedroom Plus 1 คัน/ห้อง ส่วน 2 Bedroom 2 คัน/ห้อง - ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ
– รูปแบบประตูทางเข้า-ออกโครงการ (รถยนต์) : รั้วกั้นไม้กระดก
– ระบบในการเข้า-ออก (รถยนต์) : Bluetooth ระยะไกล
– ระบบในการเข้า-ออก (เดินเข้าออก ขึ้นลงอาคาร) : Keycard Access
– CCTV ส่วนกลาง
– เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
– รั้วรอบโครงการ : รั้วทึบสูง 3 เมตร
แบบห้อง
Highlight
- เน้นห้อง 1 Bedroom อยู่อาศัย 1-2 คนได้ แต่ก็มีแบบห้อง 1 Bedroom Plus, 2 Bedroom และ Loft ให้เลือกด้วย
- ห้องครัวแบบปิดทุกยูนิต เหมาะกับคนที่ชอบทำอาหารเป็นประจำหรือไม่ชอบให้กลิ่น-ควันจากการทำอาหารลอยเข้าไปติดเฟอร์นิเจอร์ภายในห้อง
- เลือกซื้อได้ง่าย เพราะแต่ละแบบห้องมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน อย่างโซนพักผ่อนอยู่ด้านใน ได้ความสงบ ส่วนตัว, ครัวปิดติดระเบียง, มีพื้นที่ Walk-in Closet, Common Area ขนาดใหญ่, มีห้องอเนกประสงค์ หรือได้ 2 ห้องนอน
โครงการ Chapter One Spark Charan มีรูปแบบห้องพักอาศัยตั้งแต่ 1 Bedroom ไปจนถึง 2 Bedroom มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 22.00-55.75 ตร.ม. รวมถึงมีแบบห้อง Loft ให้เลือกด้วยนะ แต่จะเน้นแบบห้อง 1 Bedroom เป็นหลัก จึงเหมาะอยู่อาศัย 1-2 คนนั่นเอง
โดยทุกยูนิตจะได้ห้องครัวแบบปิด จึงทำอาหารจริงจังได้เลย นอกจากนั้นแต่ละแบบห้องจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น โซนพักผ่อนอยู่ด้านใน ได้ความสงบ ส่วนตัว, ครัวปิดติดระเบียง, มีพื้นที่ Walk-in Closet, Common Area ขนาดใหญ่, มีห้องอเนกประสงค์ หรือได้ 2 ห้องนอน
ส่วนตัวห้องจะขายในรูปแบบ Fully Fitted ทำให้เราสามารถเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ตรงตามการใช้งานและความชอบของเราเลยนั่นเอง อีกทั้งได้ความสูงห้องถึง 2.70 เมตร บรรยากาศภายในห้องโปร่งสบาย
นอกจากนั้นโครงการนี้ยังเป็นคอนโดที่เปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะคะ โดยทางโครงการบอกมาว่าสำหรับห้องพักอาศัยในชั้น 10 จะเริ่มเห็นแนวแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว แต่ถ้าอยากได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาชัดมากขึ้น ก็ต้องมองเป็นชั้น 15 ขึ้นไปนั่นเอง เมื่อเทียบกับคอนโดเพื่อนบ้านในทำเลข้างเคียง รวมถึงคอนโดวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว โครงการนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะนอกจากได้วิวแม่น้ำชัดๆ ใกล้ๆแล้ว ยังมีราคาเริ่มต้นถูกสุด อยู่ที่ 1.89 ล้านบาท*
- 1 Bedroom (A) พื้นที่ใช้สอย 22.00-23.75 ตร.ม.
- 1 Bedroom (B) พื้นที่ใช้สอย 26.00-27.00 ตร.ม.
- 1 Bedroom (C) พื้นที่ใช้สอย 28.00-28.75 ตร.ม.
- 1 Bedroom (D) พื้นที่ใช้สอย 30.00-30.75 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 34.50 ตร.ม.
- 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 55.30-55.75 ตร.ม.
- Loft พื้นที่ใช้สอย 22.00-55.30 ตร.ม. (เฉพาะชั้น 26 เพียง 14 ยูนิต)
วัสดุภายในห้อง
– พื้นห้อง : SPC ลายไม้
– พื้นระเบียง : กระเบื้องเซรามิก ขนาด 30×30 เซนติเมตร
– ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.70 เมตร
– ผนังห้องฉาบเรียบทาสีขาว
– ไฟดาวน์ไลท์
– ปลั๊ก-สวิตช์ไฟฟ้า จาก SCHNEIDER
– เครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก DAIKIN (จำนวนชิ้นขึ้นอยู่กับแบบห้อง)
– Digital Door Lock จาก Secuon รองรับ 3 ระบบ ได้แก่ Keycard, Password และกุญแจ
วัสดุห้องครัว
– พื้นห้องครัว : กระเบื้องแกรนิตโต้ ขนาด 60×60 เซนติเมตร (ยกเว้น Type I-D เป็นพื้น SPC)
– เคาน์เตอร์ครัว Top Counter เป็นหินเทียม (Composite Stone) สีขาว พร้อม Built-in ชั้นวางของด้านบน-ล่าง วัสดุเป็น Particle Board ปิดผิวเมลามีนแบบ Matt และ Gloss
– Backsplash : กระเบื้องเซรามิกลายหิน Terrazzo ขนาด 30×30 เซนติเมตร
– อ่างล้างจาน, Hob และ Hood จาก HAFELE
วัสดุห้องน้ำ
– พื้นห้องน้ำ : กระเบื้องเซรามิก ขนาด 30×30 เซนติเมตร
– สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ (ก๊อกน้ำ อ่างล้างมือ โถสุขภัณฑ์และฝักบัว) จาก COTTO
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
วันนี้เราจะมาเจาะลึกห้องตัวอย่าง 1 Bedroom (B) พื้นที่ใช้สอย 26.50 ตร.ม. และ 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 34.50 ตร.ม. กัน รวมถึงเก็บภาพบรรยากาศห้องตัวอย่างของ 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 55.30-55.75 ตร.ม. มาให้ชมกันด้วยนะคะ
1 Bedroom (B) พื้นที่ใช้สอย 26.50 ตร.ม.
ห้องตัวอย่างห้องแรกที่เราพามาชมกัน ได้แก่ 1 Bedroom (B) พื้นที่ใช้สอย 26.50 ตร.ม. ซึ่งมีจำนวนยูนิตมากที่สุดในโครงการ รองรับการอยู่อาศัย 1-2 คนได้ โดยส่วนใหญ่แบบห้องนี้จะหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนตำแหน่งห้องที่อยู่ตรงกลางอาคาร จะเป็นห้องที่เปิดรับวิวสวนได้เต็มที่ ไม่มีส่วนของอาคารมาบังกันเองด้วยนะ ทำให้เป็นตำแหน่งที่น่าสนใจมากๆค่ะ
ทางโครงการออกแบบทุกห้องได้ครัวปิดทั้งหมด แต่แบบห้องนี้มีจุดเด่นที่ “ห้องครัวแบบปิด ติดระเบียง” เราจึงมองว่าแบบห้องนี้เหมาะกับคนที่ชอบทำอาหารที่สุด เพราะนอกจากจะทำอาหารจริงจังได้แล้ว ยังเปิดระบายอากาศไปทางระเบียงได้ อีกทั้งกลิ่นและควันก็ไม่ลอยเข้ามาติดเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องด้วยค่ะ นอกจากนั้นยังออกแบบแบ่งโซนพักผ่อนและ Service แยกกันชัดเจนเป็นฝั่งซ้าย-ขวา ทำให้ได้พื้นที่ภายในห้องเป็นสัดส่วนดีเลย
- แบ่งพื้นที่ในห้องเป็นสัดส่วน ออกแบบแยกโซนพักผ่อนและ Service ทำให้ได้พื้นที่แยกเป็น 2 ฝั่งชัดเจน
- Common Area เชื่อมพื้นที่นั่งเล่นและรับประทานอาหาร ได้บรรยากาศโปร่งโล่ง
- ห้องนอน มีประตูกระจกกั้นเป็นสัดส่วน ภายในห้องมีพื้นที่กว้าง
- ห้องครัวแบบปิด ติดระเบียง ทำอาหารได้จริงจัง ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่น-ควันจากการทำอาหาร
- ห้องน้ำ กั้นแยกโซนชัดเจน ใช้งานง่ายจาก Common Area และห้องนอน
- ระเบียง ใช้งานพื้นที่ด้านล่างได้ เพราะแขวน Condensing Unit ไว้ด้านบน
ประตูห้อง
งั้นเรามาเริ่มที่บริเวณด้านหน้าห้องเลย โดยประตูห้องจะติดตั้ง Digital Door Lock จาก Secuon สามารถรองรับได้ 3 ระบบทั้ง Keycard, Password และกุญแจ ทำให้ใช้งานได้ง่าย ส่วนตรงด้านล่างประตูจะมีกั้นพื้นสูงขึ้นมานิดนึง เพื่อช่วยป้องกันเศษสกปรกหรือฝุ่นผงต่างๆจากโถงทางเดินเข้าไปภายในห้องค่ะ
Common Area
เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับ Common Area ขนาด 2.50×3.35 เมตร ที่ออกแบบเป็น Open Plan เชื่อมพื้นที่นั่งเล่นและรับประทานอาหารเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อดีของพื้นที่แบบ Open Plan นะ เพราะนอกจากจะได้พื้นที่ขนาดใหญ่ ใช้งานได้ต่อเนื่องกัน บรรยากาศโปร่งโล่งแล้ว ยังสามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ยืดหยุ่นตามการใช้งานด้วยนั่นเอง
วัสดุปูพื้นบริเวณ Common Area จะเป็น SPC ลายไม้ ที่มีคุณสมบัติทนต่อรอยขีดข่วนและความชื้นได้ดี ทำให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น อีกทั้งพอเลือกเป็นลายไม้ก็ได้บรรยากาศที่อบอุ่น เหมาะแก่การพักผ่อนค่ะ ส่วนผนังและเพดานจะเป็นแบบฉาบเรียบทาสีขาวและไฟแบบดาวน์ไลท์, ปลั๊ก-สวิตช์ไฟฟ้า จาก SCHNEIDER และเครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก DAIKIN (จำนวนชิ้นขึ้นอยู่กับแบบห้อง) รวมถึงความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานอยู่ที่ 2.70 เมตร ทำให้ได้บรรยากาศที่โปร่งสบาย ไม่อึดอัด
Living Area
Living Area มีขนาด 1.70×2.50 เมตร สามารถวางโซฟา 2-3 ที่นั่ง พร้อมโต๊ะกลางเล็กๆ รวมถึง Built-in ชั้นวางทีวีและชั้นวางของเหมือนที่ห้องตัวอย่างตกแต่งให้ดูเป็นไอเดียได้เลย หรือจะ Built-in เป็นชั้นวางของเต็มผนังก็ได้เหมือนกัน ช่วยให้เราเก็บของได้เยอะเป็นเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย โดยจะมีระยะดูทีวีอยู่ที่ 2.20 เมตร ติดตั้งทีวีขนาด 40 นิ้วได้ค่ะ
Dining Area เป็นพื้นที่นั่งรับประทานอาหารที่อยู่บริเวณเดียวกับ Living Area เลย มีความกว้างประมาณ 1.50 เมตร เราจึงตั้งโต๊ะเล็กๆและเก้าอี้ 2 ที่นั่งได้พอดีค่ะ ส่วนตรงกำแพงก็มีพื้นที่ให้เราติดตั้งชั้นวางของเล็กๆได้เหมือนกัน
ประตูกั้น Common Area และห้องนอน
สำหรับห้องนอนจะอยู่ถัดจาก Common Area โดยจะกั้นด้วยประตูบานเลื่อน 3 ตอน ซึ่งสามารถเปิด-ปิดได้กว้างดี ส่วนใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในห้องนอนก็สามารถติดผ้าม่านตรงประตูนี้ได้นะ พอตกกลางคืนก็ค่อยมาปิดผ้าม่าน ส่วนตอนกลางวันที่เราพักอยู่ในห้องก็เปิดผ้าม่าน เพื่อช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้ามาภายในห้องดูสว่างค่ะ
นอกจากนั้นเรายังเปิดประตูกระจกนี้เชื่อมพื้นที่ทั้ง Common Area และห้องนอน เพื่อให้ได้พื้นที่ต่อเนื่องกันและได้บรรยากาศโปร่งโล่งด้วย
ห้องนอน
ห้องนอนมีขนาด 2.50×3.15 เมตร เหมาะสำหรับวางเตียง 5 ฟุต มีพื้นที่รอบเตียงพอเดินผ่านได้พอดี เราจึงแนะนำให้เลือกใช้ทีวีแบบแขวนดีกว่า ส่วนพื้นที่ด้านข้างก็มีพื้นที่แต่งตัวด้วย มีความกว้างประมาณ 0.90 เมตร จึงยืนเลือกเสื้อผ้า แต่งตัวได้ค่ะ
ประตูกระจกกั้นโซนพักผ่อนและ Service
ต่อมาเราจะพาไปดูโซน Service ที่มีทั้งห้องน้ำ ห้องครัวและระเบียงกัน อีกทั้งเปลี่ยนวัสดุปูพื้นเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ ขนาด 60×60 เซนติเมตร ซึ่งทางโครงการจะติดตั้งประตูกระจกบานผลักมาให้แบบนี้เลยนะ เอาจริงๆแปลนห้องนี้ถือเป็นแบบห้องมาตรฐานทั่วไปในคอนโด แต่เราไม่ค่อยเห็นทางคอนโดติดตั้งประตูกระจกกั้นโซนพักผ่อนและ Service มาให้แบบโครงการนี้เลยนะ ทำให้นอกจากจะได้พื้นที่เป็นสัดส่วนมากขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดงบตกแต่ง เพราะเราไม่ต้องเสียเงินไปติดตั้งประตูเพิ่มเองค่ะ
บริเวณด้านหน้าห้องน้ำ
ต่อมาเราจะพาไปดูห้องน้ำกันต่อเลย ซึ่งพื้นที่ด้านหน้าห้องน้ำจะมีความกว้างประมาณ 1 เมตร ขนาดพอให้เรายืนได้พอดีๆค่ะ
ห้องน้ำ
ห้องน้ำมีขนาด 1.40×2.25 เมตร มีการออกแบบแบ่งโซนแห้ง-เปียกไว้ชัดเจน สำหรับพื้นห้องน้ำเป็นกระเบื้องเซรามิก ขนาด 30×30 เซนติเมตร อีกทั้งมีกั้นธรณีประตูสูงขึ้นมาจากระดับพื้นห้อง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกไปด้านนอกด้วย
ส่วนสุขภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งก๊อกน้ำ, อ่างล้างมือ, โถสุขภัณฑ์และฝักบัว เลือกใช้จาก COTTO เราชอบที่มีเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ พร้อมช่องเก็บของด้านล่าง รวมถึงมีเจาะช่องตรงผนังด้านข้างโถสุขภัณฑ์และพื้นที่อาบน้ำมาให้วางของตกแต่งและอุปกรณ์ของใช้ในห้องน้ำได้เยอะดีเลยค่ะ สำหรับพื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 0.85×1.00 เมตร แต่ไม่ได้ติดตั้งฉากกั้นกระจกอาบน้ำมาให้นะคะ ซึ่งเราสามารถหาซื้อเพิ่มเองได้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำกระเด็นไปเลอะบริเวณอื่นนั่นเอง
ก่อนที่เราจะพาไปดูโซนห้องครัว เราจะขอพามาดูพื้นที่อเนกประสงค์ตรงด้านหน้าห้องน้ำกันก่อนนะ
พื้นที่อเนกประสงค์บริเวณด้านหน้าห้องน้ำ จะมีขนาดประมาณ 1.00×1.30 เมตร เหมาะทำ Built-in เป็นชั้นวางของ สำหรับวางพวกเครื่องประดับต่างๆ รวมถึงสามารถแขวนจักรยานพับได้เหมือนที่ทางห้องตัวอย่างตกแต่งให้ดูเป็นไอเดียได้เลยค่ะ แต่เราแนะนำให้เลือก Built-in หน้าบานตู้ด้วยนะคะ เพราะพออยู่บริเวณเดียวกับห้องครัว ก็ทำให้กลิ่นและควันจากการทำอาหารอาจจะลอยติดพวกสิ่งของต่างๆตรงตู้นี้ได้นั่นเอง
ห้องครัวแบบปิด ติดระเบียง
ห้องครัวจะมีขนาดประมาณ 1.30×2.00 เมตร ซึ่งทางโครงการออกแบบเป็นครัวปิดติดระเบียงนะ ถูกใจคนที่ชอบทำอาหารกินเองบ่อยๆนะคะ เพราะสามารถเปิดระบายอากาศไปทางระเบียงได้เลย ไม่ต้องกังวลว่ากลิ่นหรือควันจากการทำอาหารจะลอยเข้าไปติดเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องค่ะ ส่วนวัสดุปูพื้นเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ ขนาด 60×60 เซนติเมตร (ยกเว้น Type 1-D เป็นพื้น SPC) ทำให้ดูแลรักษาความสะอาดได้ง่าย
ส่วนชุดเคาน์เตอร์ครัวมี Top Counter เป็นหินเทียม (Composite Stone) สีขาว พร้อม Built-in ชั้นวางของด้านบน-ล่าง สำหรับเก็บอุปกรณ์ของใช้ในครัวและวัตถุดิบในการทำอาหาร โดยหน้าบานตู้เก็บของจะเป็น Particle Board ปิดผิวเมลามีนแบบ Matt และ Gloss ค่ะ มีพื้นที่ยืนทำอาหารกว้างประมาณ 0.70 เมตร
นอกจากนั้นทางโครงการได้ติดตั้งอ่างล้างจาน, Hob และ Hood จาก HAFELE มาให้เรียบร้อยเลย รวมถึงเครื่องดูดควันจะเป็นระบบหมุนเวียนที่ดูดควันไปปล่อยนอกอาคารด้วยนะ ไม่ต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยๆ แถมติดตั้ง Backsplash เป็นกระเบื้องเซรามิกลายหิน Terrazzo ขนาด 30×30 เซนติเมตร บริเวณผนังด้านหลังเคาน์เตอร์ จึงเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายด้วยนั่นเอง
ทางโครงการติดตั้งประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอน เพื่อเปิดไปยังระเบียงและช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้ามาภายในห้องครัว
ระเบียงมีขนาดประมาณ 1.00×1.30 เมตร ปูพื้นเป็นกระเบื้องเซรามิก ขนาด 30×30 เซนติเมตร จึงดูแลรักษาความสะอาดได้ง่าย ซึ่งทางโครงการได้แขวน Condensing Unit ไว้ด้านบน จึงมีพื้นที่ด้านล่างใช้งาน ตั้งเป็นราวตากผ้าหรือทำเป็นมุมนั่งเล่นเล็กๆแบบ Semi Outdoor พร้อมมุมต้นไม้สีเขียว อีกทั้งยังออกแบบระแนงช่วยพรางสายตาตรง Condensing Unit ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีเวลาที่มองมาจากด้านนอกอาคารนะคะ
1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 34.50 ตร.ม.
ต่อมาเราพาชมห้องตัวอย่าง 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 34.50 ตร.ม. เหมาะกับคนที่ต้องการห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนเล็ก ห้องทำงาน ห้องดูหนัง ห้องเล่นเกม หรือห้องสำหรับวางของสะสม ทำงานอดิเรกนั่นเอง โดยห้องนี้ก็ยังได้ห้องครัวแบบปิดนะ ส่วน Common Area และห้องนอนก็มีขนาดใหญ่กว่า 1 Bedroom จึงอยู่อาศัยได้สะดวกสบายมากขึ้น โดยตำแหน่งของห้องนี้จะมีเพียง 9 ยูนิตต่อชั้นและหันออกด้านนอกทั้งหมด ทำให้ได้วิวเปิดโล่งค่ะ
- Common Area ขนาดใหญ่ ได้บรรยากาศที่โปร่งสบายมากขึ้น
- ห้องครัวแบบปิด ทำอาหารได้จริงจัง ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่น-ควัน
- ห้องน้ำอยู่บริเวณตรงกลางห้อง เข้าใช้งานได้สะดวกทั้งจาก Common Area, ห้องอเนกประสงค์และห้องนอน
- ห้องอเนกประสงค์ พร้อมระเบียง สามารถปรับเป็นห้องนอนเล็กๆอีกห้อง หรือใช้เป็นห้องทำงานได้เลย
- ห้องนอน ขนาดใหญ่ วางเตียง 5 ฟุตได้สบาย มีมุมตั้งตู้เสื้อผ้าได้ลงตัวดี
ประตูห้อง
ทางโครงการจะติดตั้ง Digital Door Lock ตรงประตูห้องมาให้ด้วย สามารถรองรับการใช้งานได้ 3 ระบบทั้ง Keycard, Password และกุญแจ จาก Secuon รวมถึงมีการยกพื้นสูงขึ้นมานิดนึงตรงด้านล่างของประตูห้อง เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เศษสกปรกจากรองเท้าของเราและโถงทางเดินพัดเข้ามาภายในห้องค่ะ
Common Area
เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับ Common Area ขนาด 2.30×3.90 เมตร ซึ่งเป็นการออกแบบ Open Plan จึงได้พื้นที่ขนาดใหญ่เชื่อมต่อ Living Area และ Dining Area อยู่บริเวณเดียวกัน ใช้งานได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้บรรยากาศโปร่งโล่งและจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ยืดหยุ่นด้วย
สำหรับวัสดุปูพื้นจะเป็น SPC ลายไม้ จึงทนทานต่อรอยขีดข่วนและความชื้น ส่วนผนังและเพดานจะเป็นแบบฉาบเรียบทาสีขาวและไฟแบบดาวน์ไลท์, ปลั๊ก-สวิตช์ไฟฟ้า จาก SCHNEIDER และเครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก DAIKIN (จำนวนชิ้นขึ้นอยู่กับแบบห้อง) ส่วนความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานอยู่ที่ 2.70 เมตร
Living Area ขนาดประมาณ 2.30×2.40 เมตร ซึ่งเราสามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์เหมือนที่ทางห้องตัวอย่างได้ตกแต่งเป็นไอเดียได้เลย ไม่ว่าจะวางโซฟายาว 2-3 ที่นั่ง, โต๊ะกลาง, โต๊ะข้างและชั้นวางทีวี มีระยะดูทีวี 2.00 เมตร ตั้งทีวี 40 นิ้วได้ ซึ่งเหลือพื้นที่ทางเดินกว้าง จึงเดินผ่านเข้า-ออกได้ง่าย นอกจากนั้นเรายังปรับจากโต๊ะข้างเป็นชั้นวางของเล็กๆ จะได้มีพื้นที่เก็บของมากขึ้น หรือใช้เป็นมุมโต๊ะทำงานก็ได้เหมือนกันค่ะ
Dining Area จะอยู่ใกล้ๆกับประตูห้องและ Living Area มีขนาดประมาณ 1.35×2.30 เมตร สามารถวางโต๊ะเล็กๆพร้อมเก้าอี้ได้ 2 ที่นั่ง แบบพอดีๆเลยนะคะ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับห้องครัวแบบปิด จึงจัดเสิร์ฟอาหารได้ง่ายดี
ห้องครัวแบบปิด
สำหรับห้องครัวแบบปิดจะอยู่ติดกับประตูห้องและตรงข้าม Dining Area เลยค่ะ ทำให้จัดเตรียมอาหารต่างๆได้ง่ายดี โดยห้องครัวนี้จะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอนที่เปิด-ปิดได้ง่าย และช่วยป้องกันไม่ให้กลิ่น-ควันจากการทำอาหารลอยเข้ามาภายในห้องพัก
ห้องครัวแบบปิด
ห้องครัวมีขนาด 1.40×2.50 เมตร ปูพื้นเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ ขนาด 60×60 เซนติเมตร (ยกเว้น Type 1-D เป็นพื้น SPC) โดยออกแบบเป็นห้องครัวแบบปิด พร้อมติดตั้งชุดเคาน์เตอร์ครัวมาให้เรียบร้อย มี Top Counter เป็นหินเทียม (Composite Stone) สีขาว พร้อมติดตั้งอ่างล้างจาน, Hob และ Hood จาก HAFELE และ Backsplash เป็นกระเบื้องเซรามิกลายหิน Terrazzo ขนาด 30×30 เซนติเมตร ป้องกันเศษอาหารเลอะตรงผนังด้านหลังเคาน์เตอร์และ Built-in ชั้นวางของด้านบน-ล่าง ส่วนหน้าบานตู้เก็บของจะเป็น Particle Board ปิดผิวเมลามีนแบบ Matt และ Gloss มีพื้นที่ยืนทำอาหารกว้างประมาณ 0.80 เมตร
ซึ่งพอเป็นห้องครัวแบบปิด ก็ทำให้สามารถทำอาหารภายในห้องได้สะดวกดี รวมถึงเครื่องดูดควันที่ทางโครงการติดตั้งมาให้จะเป็นระบบหมุนเวียนที่ดูดควันไปปล่อยนอกอาคารด้วย จึงดูดซับกลิ่นและควันได้ระดับนึงเลย
ต่อมาเราจะพาไปดูห้องอเนกประสงค์กันต่อนะคะ โดยจะอยู่ถัดจาก Common Area เลยค่ะ
ประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน แบ่ง Common Area และห้องอเนกประสงค์
สำหรับห้องอเนกประสงค์ก็จะติดตั้งประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนไว้กั้นแบ่งพื้นที่ภายในห้องเป็นสัดส่วน รวมถึงตัวห้องอเนกประสงค์เองก็มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น นอกจากนั้นการเลือกใช้เป็นประตูกระจกก็ช่วยดึงแสงธรรมชาติจากด้านนอกเข้ามาภายในห้องดูสว่าง รวมถึงพอเลื่อนได้ 3 ตอนก็สามารถเปิด-ปิดได้กว้าง พื้นที่เชื่อมต่อเนื่องกับ Common Area เพิ่มบรรยากาศโปร่งโล่งภายในห้องได้ดี
ห้องอเนกประสงค์
ห้องอเนกประสงค์มีขนาดประมาณ 1.95×195 เมตร เป็นห้องที่เราสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้ตามการใช้งานของเราเลยนะคะ อย่างห้องตัวอย่างก็ตกแต่งเป็นห้องนั่งทำงาน วางโต๊ะและเก้าอี้ ส่วนด้านข้างก็มีพื้นที่ Built-in ชั้นวางของต่างๆได้ เหมาะกับสายงานที่ Work From Home หรือทำงาน Freelance เลยค่ะ แต่ใครอยากจะปรับเป็นห้องนอนเล็ก วางเตียงแบบ Daybed, ห้องดูหนัง, ห้องเล่นเกม หรือห้องออกกำลังกาย เล่นโยคะก็ได้เหมือนกัน ส่วนด้านข้างจะมีประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน เปิดออกไปยังระเบียงด้วยค่ะ
ระเบียงมีขนาด 0.80×2.10 เมตร ปูพื้นเป็นกระเบื้องเซรามิก ขนาด 30×30 เซนติเมตรที่ดูแลทำความสะอาดได้ง่าย อีกทั้งพอติดตั้ง Condensing Unit ไว้ด้านบน ก็สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ด้านล่างนี้สำหรับตั้งราวตากผ้าหรือมุมต้นไม้ต่างๆ เพื่อเป็นวิวสีเขียวและมุมพักสายตาให้กับห้องอเนกประสงค์ได้ด้วยนะ
ต่อมาเราจะพาไปดูห้องนอนและห้องน้ำกันนะคะ โดยจะมีพื้นที่ตรงกลางกว้างประมาณ 0.90 เมตรให้เราติดเป็นกระจกเงาขนาดใหญ่ ไว้ส่องเช็กความเรียบร้อยก่อนออกจากห้องได้เหมือนห้องตัวอย่างเลย หรือจะติดเป็นราวแขวนเสื้อผ้า-หมวก-เครื่องประดับ และชั้นวางของเล็กๆได้ด้วยค่ะ
เราจะพาไปชมห้องน้ำที่อยู่ทางฝั่งด้านซ้ายกันต่อนะคะ ซึ่งเรามองว่าตำแหน่งของห้องน้ำนี้อยู่ไม่ไกลจาก Common Area, ห้องอเนกประสงค์และห้องนอนนะ จึงสามารถเข้าใช้งานได้สะดวกอยู่
ห้องน้ำ
ห้องน้ำมีขนาดประมาณ 1.40×1.50 เมตร พร้อมออกแบบพื้นกั้นสูงขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกไปด้านนอก ส่วนภายในห้องก็ออกแบบแบ่งโซนแห้ง-เปียกเป็นสัดส่วน สำหรับสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำเลือกใช้จาก COTTO ทั้งหมด ตรงเคาน์เตอร์อ่างล้างมือจะมีตู้เก็บของด้านล่าง รวมถึงเจาะช่องตรงผนังด้านข้างโถสุขภัณฑ์และพื้นที่อาบน้ำมาให้วางของต่างๆได้ สำหรับพื้นที่อาบน้ำขนาดประมาณ 1.10×1.10 เมตร แต่ทางโครงการไม่ได้ติดตั้งฉากกั้นกระจกอาบน้ำมาให้นะคะ เราแนะนำให้ติดตั้งเพิ่มเองนะ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำกระเด็นไปเลอะบริเวณอื่นค่ะ
ห้องนอน
ห้องนอนมีขนาด 2.70×2.85 เมตร สามารถวางเตียง 5-6 ฟุตได้ มีพื้นที่เดินรอบเตียงประมาณ 0.60 เมตร ส่วนด้านข้างจะมีมุมให้ตั้งหรือ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้พอดีเหมือนห้องตัวอย่าง รวมถึงมีพื้นที่ด้านข้างตั้งโต๊ะแต่งหน้าเล็กๆได้ด้วยนะ โดยจะมีพื้นที่ยืนแต่งตัวกว้างประมาณ 0.95 เมตรค่ะ ถึงแม้ห้องนอนนี้จะไม่ได้มีห้องน้ำในตัว แต่ห้องน้ำจะอยู่ตรงข้ามห้องนอนเลย เราจึงมองว่าสามารถเดินออกไปใช้งานได้ง่ายมากๆค่ะ
2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 55.30-55.75 ตร.ม.
โครงการนี้มีแบบห้อง 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 55.30-55.75 ตร.ม. ด้วยนะคะ ซึ่งมีเพียง 2 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้นและขายไปได้เกือบหมดแล้ว แต่เราก็เก็บภาพบรรยากาศห้องตัวอย่างมาให้ทุกคนชมกันด้วยค่ะ
โดยห้องนี้จะเหมาะอยู่อาศัยกันเป็นครอบครัวขนาดเล็ก มีพื้นที่ใช้สอยแต่ละห้องขนาดใหญ่ รวมถึงห้องนอนทั้ง 2 ห้องที่อยู่อาศัยได้สบาย มีห้องน้ำในตัวหรืออยู่ใกล้ๆให้ใช้งานได้ง่ายดี นอกจากนั้นยังมีระเบียงยาวเปิดรับวิวด้านนอกฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย ทำให้ใช้เป็นมุมนั่งเล่นชมวิวตอนเย็นๆค่ำๆได้เลยค่ะ
- ห้องหน้ากว้าง เปิดรับวิวและแสงธรรมชาติได้เต็มที่ อีกทั้งมีช่องเปิดด้านข้างห้องด้วย
- ห้องครัวแบบปิดขนาดใหญ่ ใช้เป็นครัวไทย ทำอาหารได้จริงจัง
- Common Area ขนาดใหญ่ จัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ยืดหยุ่น
- ระเบียงยาว จัดเป็นมุมต้นไม้แนวยาว เพิ่มวิวสีเขียวให้กับ Common Area ได้
- Master Bedroom วางเตียง 6 ฟุตได้สบาย มีกระจกเข้ามุม เปิดรับวิว-แสงได้เยอะ พร้อมพื้นที่แต่งตัวอยู่ด้านข้างและห้องน้ำในตัว
- ห้องนอนรอง วางเตียงและตู้เสื้อผ้าได้สบายๆ แถมมีช่องหน้าต่างเปิดรับวิวและแสง
- ห้องน้ำส่วนกลาง แชร์การใช้งานระหว่าง Common Area และห้องนอนรอง
Common Area
แบบแปลน
1 Bedroom (A) พื้นที่ใช้สอย 22.00-23.75 ตร.ม.
ราคา
Chapter One Spark Charan ราคาเท่าไหร่ (ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568)
ราคาผ่อนต่อเดือนยกตัวอย่างจาก ดอกเบี้ย 4% ระยะเวลาผ่อน 30 ปี*
สามารถคลิกดูอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันได้ที่ >> อัปเดต! ดอกเบี้ยบ้าน 2568 ทุกธนาคาร
- 1 Bedroom (A) พื้นที่ใช้สอย 22.00-23.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 9,023.15 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,210-1,306.25 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 11,000-11,875 บาท - 1 Bedroom (B) พื้นที่ใช้สอย 26.00-27.00 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 9,977.98 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,430-1,485 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 13,000-13,500 บาท - 1 Bedroom (C) พื้นที่ใช้สอย 28.00-28.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 10,932.81 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,540-1,581.25 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 14,000-14,375 บาท - 1 Bedroom (D) พื้นที่ใช้สอย 30.00-30.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 13,797.30 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,650-1,691.25 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 15,000-15,375 บาท
- 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 34.50 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 14,274.72 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,897.50 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 17,250 บาท - 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 55.30-55.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.69 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 22,390.78 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 3,041.50-3,066.25 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 27,650-27,875 บาท - Loft พื้นที่ใช้สอย 22.00-55.30 ตร.ม. (เฉพาะชั้น 26 เพียง 14 ยูนิต) ราคาเริ่มต้น 3.98 ล้านบาท
– ราคาผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นประมาณ 19,001.13 บาท
– ค่าส่วนกลางเริ่มต้น 1,210-3,041.50 บาทต่อเดือน
– ค่ากองทุนเริ่มต้น 11,000-27,650 บาท - รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ค่าจอง 2,000 บาท
- ทำสัญญา 3,000 บาท
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม. (จ่ายครั้งเดียว)
- ค่าส่วนกลาง 55 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
Tips : แนะนำการขอสินเชื่อกับธนาคาร
เกณฑ์การพิจารณาการขอสินเชื่อจากธนาคาร ควรมีเงื่อนไขตรงกับข้อไปนี้ค่ะ
- มีรายรับชัดเจน สม่ำเสมอ(ไม่ผันผวน) ต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน และสามารถตรวจสอบได้
- ควรมีภาระหนี้รวมทั้งหมด (ทั้งบ้าน รถยนต์ บัตรเครดิต และอื่นๆ) ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน
- มีรายได้ต่อเดือนมากกว่าค่าผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3 เท่าขึ้นไป
หากต้องการผ่อนบ้านให้หมดไว แนะนำให้โปะเพิ่มประมาณ 10% ของงวดผ่อน จะช่วยลดระยะเวลาผ่อนลงได้ 4 – 7 ปี (ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย) และควร Refinance หรือ Retention เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลงทุกๆ 3 ปี ทั้งนี้อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและตกแต่ง*ก่อนเข้าอยู่เพิ่มเติมด้วยนะคะ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
>>โปะบ้านหมดไว คำนวณได้เอง
>>โอนบ้านจบ อย่าใช้เงินหมด! ค่าใช้จ่ายแฝงเพียบ
บทสรุป
ทำเล :
โครงการ Chapter One Spark Charan เป็นคอนโด High Rise ราคาเริ่มต้นถูกสุดบนทำเล เริ่มต้น 1.89 ล้านบาท (คอนโดเพื่อนบ้านเริ่มต้น 1.99-2.69 ล้านบาท) อีกทั้งตั้งอยู่ติดถนนจรัญสนิทวงศ์ ใกล้กับซอยจรัญสนิทวงศ์ 85 ที่เป็นทำเลใกล้เมือง แต่ราคาคอนโดไม่สูงนักและยังเดินทางเชื่อมต่อเข้าเมืองได้ง่าย รวมถึงเป็นทำเลที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้อีกด้วย
ความอุดมสมบูรณ์ใกล้ๆโครงการจะมี 7-11 และตลาดเล็กๆอยู่ด้านข้างโครงการเลย หรือเดินข้ามสะพานลอยไปจะเจอกับ Tops daily รวมถึงปั๊มน้ำมัน PT ที่มี KFC, กาแฟพันธุ์ไทยและร้านสะดวกซื้อ Max Mart นอกจากนั้นยังมีร้านค้า ร้านอาหารอยู่ตามแนวถนนให้เลือกซื้อได้ แต่ความอุดมสมบูรณ์หลักของทำเลจะอยู่ตรงเส้นถนนบรมราชชนนี มีทั้ง Central ปิ่นเกล้า, The Sense และ Major Cineplex ส่วนบนถนนจรัญสนิทวงศ์จะมี Makro จรัญสนิทวงศ์, Lotus’s จรัญสนิทวงศ์ หรือจะไปถนนบางขุนนนท์ที่ตลอดเส้นทางจะมีร้านค้า ร้านอาหารหลากหลายค่ะ รวมถึงโดยรอบยังรายล้อมด้วยโรงพยาบาลและสถานศึกษาหลายแห่งเลย
การเดินทางโดยใช้รถ :
ทางเข้า-ออกอยู่ติดกับถนนใหญ่ จรัญสนิทวงศ์ จึงเดินทางเชื่อมต่อไปถนนบรมราชชนนี, ถนนสิรินธร, ถนนบางขุนนนท์, ถนนราชพฤกษ์, ถนนอรุณอมรินทร์และถนนราชวิถีได้ สามารถใช้สะพานพระราม 7 ข้ามฝั่งเข้าเมืองไปยังย่านรัชดาภิเษก-ลาดพร้าว-พระราม 9 ได้สะดวกหรือใช้สะพานกรุงธนฯ ข้ามฝั่งไปโซนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกใช้เดินทางเข้า-ออกเมืองนั่นเอง
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :
ถือว่าสะดวกมากๆ เพราะด้วยตัวโครงการที่ติดถนนใหญ่ จึงเรียกรถ Taxi หรือรถสองแถวที่ผ่านไปมาได้ง่าย อีกทั้งมีซุ้มวินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆและมีป้ายรถเมล์อยู่ด้านหน้าโครงการเลย นอกจากนั้นยังมีจุดเด่นที่อยู่ห่างจาก MRT สถานีบางพลัดเพียง 150 เมตร จึงเดินไปใช้งานได้สบายๆ รวมถึงยังเชื่อมไปรถไฟฟ้าได้ 5 สายในระยะเวลาประมาณ 10-20 นาที ทั้ง BTS สายสีเขียวอ่อน, MRT สายสีม่วง, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม รวมถึงรถไฟฟ้าสายอนาคตอย่าง MRT สายสีม่วงใต้, MRT สายสีส้มตะวันตกและรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนส่วนต่อขยายด้วย แถมมีท่าเรือเป็นตัวเลือกในการเดินทางบนทำเลด้วยค่ะ
วัสดุ :
รูปแบบการขายเป็น Fully Fitted ทำให้ลูกบ้านสามารถตกแต่งและเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ตามการใช้งาน แต่ก็ต้องเผื่องบสำหรับตกแต่งไว้ส่วนนึงนะคะ ส่วนการเลือกใช้วัสดุในโครงการถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานของระดับราคาทั้งพื้น SPC ลายไม้ ผนังและฝ้าเพดานฉาบเรียบ ทาสี มีไฟดาวน์ไลท์ ได้ชุดครัวครบจาก HAFELE และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำจาก COTTO รวมถึงติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type จาก DAIKIN และ Digital Door Lock จาก Secuon มาให้เรียบร้อย
การออกแบบ :
ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีจำนวนมากถึง 1,533 ยูนิต + 2 ยูนิต แต่ก็ออกแบบเพื่อกระจายความหนาแน่น ไม่รู้สึกอึดอัดเวลามาใช้งานส่วนกลาง รวมถึงยังได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นโถงลิฟต์แยกเป็น 2 จุด, พื้นที่ส่วนกลางอย่างพื้นที่นั่งเล่น-นั่งทำงานที่กระจายหลายจุดและแบ่งเป็นห้องเล็กๆเยอะ, แยกโซนพื้นที่ส่วนกลาง-ห้องพักอาศัยชัดเจน มีการกั้นประตูแบ่งโซนด้วย รวมถึงยังเน้นบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติเพราะมีพื้นที่สีเขียวเกือบ 3 ไร่ อีกทั้งยังเปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย
รูปแบบห้องจะมีตั้งแต่ 1 Bedroom ไปถึง 2 Bedroom แต่จะเน้น 1 Bedroom เป็นหลัก จึงสามารถอยู่อาศัย 1-2 คนได้สบายๆ โดยทุกยูนิตจะได้ห้องครัวแบบปิด ทำอาหารจริงจังได้ นอกจากนั้นแต่ละแบบห้องมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน จึงเลือกซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นโซนพักผ่อนอยู่ด้านใน ได้ความสงบ ส่วนตัว, ครัวปิดติดระเบียง, มีพื้นที่ Walk-in Closet, Common Area ขนาดใหญ่, มีห้องอเนกประสงค์ หรือได้ 2 ห้องนอน รองรับทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยเลย
สาธารณูปโภค :
พื้นที่ส่วนกลางมีขนาดใหญ่ตามขนาดโครงการ เพื่อรองรับการใช้งานของลูกบ้านได้อย่างทั่วถึง โดยแบ่งเป็นชั้น 1, 5 และ 26 ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นพื้นที่นั่งเล่น-นั่งทำงาน พร้อมสระว่ายน้ำยาว 50 เมตร มาว่ายน้ำจริงจังได้ นอกจากนั้นยังมีพื้นที่สีเขียวรวมเกือบ 3 ไร่ ประกอบกับเปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ได้บรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติดีมากๆ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 94,000 บาท/ตร.ม., 27 พฤศจิกายน 2568
- ทำเล 8.25/10 – ตั้งอยู่ติดถนนจรัญฯ ใกล้ MRT บางพลัด 150 เมตร มี 7-11และตลาดเล็กๆอยู่ด้านข้าง
- เดินทางด้วยรถ 8/10 – ติดถนนใหญ่ เชื่อมต่อถนนหลายสาย ใกล้ทางด่วน
- ไม่ใช้รถ 8.5/10 – ใกล้ MRT บางพลัด 150 เมตร เรียกรถอื่นๆง่าย มีท่าเรือด้วย
- วัสดุ 7.5/10 – Fully Fitted ตามมาตรฐานระดับราคานี้
- แบบ 7.5/10 – เน้น 1 Bedroom อยู่ 1-2 คนได้ แต่ละแบบห้องมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน
- สาธารณูปโภค 8.5/10 – เน้นพื้นที่นั่งเล่น สระยาว 50 ม. เปิดรับวิวแม่น้ำ พร้อมสวนเกือบ 3 ไร่
- MAIN CLASS
- 8.13 / 10.00
Chapter One Spark Charan ดีไหม?
โครงการ Chapter One Spark Charan เหมาะกับคนที่ต้องการคอนโดติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าที่ขยับออกนอกเมืองมาหน่อย แต่ได้ราคาที่ไม่สูงนัก นอกจากนั้นยังชอบพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ไม่ซีเรียสเรื่องมีลูกบ้านเยอะ หากมีการออกแบบแบ่งโซนได้ความเป็นส่วนตัวดี มีพื้นที่นั่งเล่น-ทำงานเยอะ พร้อมสระยาว 50 เมตร แถมได้บรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ เพราะมีสวนสีเขียวใหญ่เกือบ 3 ไร่และเปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย ส่วนตัวห้องก็จัดฟังก์ชันได้ลงตัว มีครัวปิดทุกห้อง ทำอาหารได้จริงจัง มีงบประมาณเริ่มต้นที่ 1.89-4.69 ล้านบาทหรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนเริ่มต้นที่ 9,023.15-22,390.78 บาท
ตัวอย่างโครงการคอนโดจรัญฯ
Think of Living รวบรวมมาให้แล้ว!
โครงการเปิดใหม่ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม ในทำเลทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ในทุกๆเดือนย้อนหลัง ใครที่กำลังมองหาบ้านห้ามพลาด อาจจะมีโครงการในราคาและทำเลที่เพื่อนๆ ตามหาอยู่ก็เป็นได้นะ
เข้ามาชมบทความรายเดือนได้เลย คลิกที่นี่

